วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ติ๊กต๊อกๆๆๆๆ....ผ่าตัดด่วนคะ


ห้องผ่าตัดโรงพยาบาลชุมชนที่อยู่ต่างจังหวัด ในวันหยุดและนอกเวลาราชการ ส่วนใหญ่จะไม่มีเจ้าหน้าที่ให้ปฏิบัติงานอยู่ที่ห้องตลอดเวลา แต่จะมีเวรปฏิบัติงาน on call ซึ่งเมื่อมีคนไข้จะผ่าตัด ถึงจะตามมาปฏิบัติหน้าที่ ...วันไหนที่อยู่เวร การรับโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล ต้องพร้อมไปทำงานให้ทันเวลาตามความเร่งด่วนของอาการผู้ป่วย หากบอกว่า STAT คือต้องทันที แทบจะวิ่งทำงาน ความโกลาหลจะอยู่ภายในห้องผ่าตัด ซึ่งมีทีมทำงาน2ทีม ทีมช่วยแพทย์ผ่าตัด ต้องเตรียมเครื่องมือให้พร้อมและพร้อมที่จะเข้าผ่าตัด อีกทีมคือทีมวิสัญญี หรือที่เรียก ทีมดมยา อิอิ หน้าที่ต้องดมยาคนไข้นะคะ ไม่ได้ดมยาเอง แต่เวลาผ่าตัดด่วนแบบนี้ สองทีม ก็แทบจะต้องดมยาตัวเองไปด้วย เครียด แต่ต้องพร้อม และมีสติ ในการทำงานทุกขั้นตอน ผ่าตัดเสร็จเมื่อไร ก็หายใจโล่ง เป็นแบบนี้เกือบทุกครั้ง เฮ้อ วันนี้ก็หายใจโล่งอีกครั้ง เด๋วเล่าให้ฟัง ว่าผ่าตัดอะไรมา..

เมื่อหมอบอก....ต้องงดน้ำและอาหาร

เรื่องราวที่มักเกิดบ่อยๆในโรงพยาบาล เมื่อหมอและพยาบาล นัดคนไข้มาเจาะเลือดตรวจ หรือนัดมาผ่าตัด**** คุณป้า งดน้ำและอาหารหลังเที่ยงคืนนะคะ****คุณป้าพยักหน้าดูเหมือนจะเข้าใจ วันรุ่งขึ้นพยาบาลจะต้องถามย้ำอีกรอบว่าคนไข้ได้ทำตามที่แนะนำหรือไม่ คุณป้าก็จะตอบอย่างมั่นใจ***ไม่ได้กินอะไรเลย**** กินโอวัลตินไปนิดเดียว***คุณพยาบาลก็จะรีบบอกอีกทันที**อ้าวคุณป้า ก็บอกแล้วไงคะว่าห้ามกินอะไรตั้งแต่เที่ยงคืน***ก็หนูบอกไม่ให้กินน้ำกะข้าว ป้าหิวก็เลยกินโอวัลตินนิดเดียวเอง***
ดังนั้น การเรียนรู้ต้องเกิดขึ้น อิอิ พยาบาลจะบอกคนไข้ว่า งดน้ำและอาหารหลังเที่ยงคืน คือ ห้ามกินอะไรทุกอย่างที่เข้าทางปากนะคะ 

...เรื่องนี้เลยจบด้วยดี

เมื่อพยาบาลต้องมาเป็นผู้ดูแลระบบคอมพิวเตอร์

เมื่อเรียนจบพยาบาล ก็ทำงานพยาบาลมาเรื่อย จนวันหนึ่งได้รับมอบหมายให้ดูแลระบบคอมพิวเตอร์ของโรงพยาบาล ชีวิตแทบไม่เป็นอันกินอันนอน เพราะไม่มีความรู้เรื่องนี้เลย ต้องเริ่มต้นจากศูนย์ ศึกษา ตั้งแต่เรื่องของhardware software และ network จากระบบที่มีปัญหา ทุกเรื่อง ต้องแก้ไข ปรับปรุงศึกษา ทุกอย่าง ที่เป็นปัญหา โชคดีที่มีน้องๆหลายโรงพยาบาลคอยช่วยเหลือแนะนำได้หลายเรื่อง แต่ก็มีปัญหาที่ระบบของ รพ.ใหญ่มาก การจัดการnetwork ที่เป็นmulti Vlan ก็ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ จากที่ไม่รู้อะไร ตอนนี้ สามารถปรับปรุงระบบให้เสถียร ใช้งานได้ดี มีหลายสิ่งที่ได้รับจากการทำงานนี้ เช่น การที่ไม่รู้ต้องศึกษาได้มาซึ่งความรู้ การมีเครือข่ายช่วยเหลือกันแบ่งปันความรู้เทคนิคต่างๆ ทำให้พัฒนาระบบไปได้เร็ว ความรู้พวกนี้ไม่มีหยุดนิ่ง ต้องติดตามให้ทันเวลา เหมือนที่ใครๆๆว่า ต้องก้าวไปข้างหน้า อย่างสม่ำเสมอ ให้มั่นคง ...แล้วก็จะมีวันนี้ เย้ๆๆๆๆ

มองโลกในด้านบวกด้วยวิถีชีวิตเราเอง ...

การดำเนินชีวิตของทุกคน ..
มีทั้งสุขและทุกข์ผสมกันไป
สิ่งที่เข้ามาในชีวิตเราเกี่ยวข้องกับเรา
ทำอย่างไรจะพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสได้
ทำอย่างไรจะมองเห็นแง่บวกได้... 



ดังคำกล่าวของท่านพุทธทาสภิกขุที่ว่า..
“เขามีส่วนเลวบ้างชั่งหัวเขา    จงเลือกเอาส่วนดีเขามีอยู่ 
เป็นประโยชน์โลกบ้างยังน่าดู   ส่วนที่ชั่วอย่าไปรู้ของเขาเลย” 

     เท่าที่ผมสัมผัสกับท่านผู้รู้หลายท่านที่ผ่านมาในชีวิตนี้ของผมนะครับ ล้วนมีความคิดทางบวกเสมอ การหันมามองวิถีชีวิตผู้คนล้วนมีรากเหง้าของความเชื่อด้วยกันทั้งนั้นครับ ...

วันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ในความทรงจำ.....ของฉัน


ในความทรงจำ....ของฉัน
ต่าง....บรรจุเรื่องราวของใครคนหนึ่งไว้มากมาย
ฉันจำไม่ได้หรอกว่า..มันนานเพียงใดแล้ว
ที่มีภาพของเค้าเข้ามาอยุ่....ในหัวใจ

การมีใครสักคน….ให้มอบความรู้สึกดีๆ
มันอาจเป็น ความสุขใจ..ที่เกินพอ
ของใครบางคนก็ได้

แม้ว่า...บางครั้ง...มันจะต้องทุกข์บ้าง
ในวันที่หัวใจ…..เกิดเรียกร้อง...
จะเป็นไปได้ไหม.....

ที่ทุกครั้ง....ยามลืมตาตื่นขึ้นมา
ใบหน้าของเธอ..จะเป็นคนแรก..ที่จะได้เห็น
อยากได้...ยินเสียง
อยากพูดคุยเหมือนอย่างที่เคยเป็นมา
และอยากให้เธอ...
อยู่เคียงข้าง.....คอยห่วงใยกัน
ให้ทุกวันของฉัน...ไม่ต้องอยู่....อย่างเดียวดาย

แต่มันก็เป็นเพียง....
ความต้องการ....ของฉันเพียงฝ่ายเดียว
ความต้องการ......ที่ซ่อนอยู่....ภายในใจ....เท่านั้น
ฉันรู้....ตัวเองดี…...ว่า
ฉันเป็น.....ได้แค่.....ใครคนหนึ่ง
ที่ไม่ใช่…...คนของหัวใจเธอ

ถึงยังไง….ณ วันนี้
ฉันไม่เคยมีคำว่า...เสียใจ....ให้กับรักที่มอบไป
ฉันยังคงรักเธอ...และ...รู้สึกแบบนี้....ต่อไป

ฉันรักเธอ คำๆนี้
ขอฝากเอาไว้....หน่อยนะ
ตรงไหนก็ได้ในหัวใจ...ของเธอ
ถึงจะเนิ่นนานแค่ไหน

ความหมาย..ที่ให้ไว้
จะไม่วันเปลี่ยนแปลง

เพราะนั้น.....มันจะแปลว่า
เธอ....จะมีใคร.....อีกคนหนึ่ง
ที่คิดถึง…เธอ.....อยู่เสมอ
และ คนๆ นั้น
จะยังมี....ความห่วงใย คอยส่งหา
หากว่า.....บางทีที่มันจะทำให้เธอ....
รู้สึกดีๆ และรับรู้ถึงมันได้บ้างก็ตาม

เพราะบางที.....หัวใจของเรา
คงจะมีไว้...เพื่อให้เรา
......แค่ได้รัก......ใครสักคน

...HoNeSt LovE...

จอร์จ ไซมอน โอห์ม : George Simon Ohm

จอร์จ ไซมอน โอห์ม : George Simon Ohm


เกิด วันที่ 16 มีนาคม ค.ศ. 1787 ที่เมืองเออร์แลงเกนประเทศเยอร์มนี
เสียชีวิต วันที่ 27 กรกฎาคม ค.ศ. 1854 ที่เมืองมิวนิคประเทศเยอรมนี
ผลงาน - ค้นพบความสัมพันธ์ระหว่างความต่างศักย์ไฟฟ้าและความต้านทานไฟฟ้า
- ตั้งกฎของโอห์ม (Ohm's Law)

โอห์มเกิดเมื่อวันที่ 16 มีนาคม ค.ศ. 1787 ที่เมืองเออร์แลงเกน ประเทศเยอรมนี บิดาของเขาชื่อว่า โจฮัน โอห์ม (John
Ohm) มีอาชีพเป็นช่างทำกุญแจ และปืน แม้ว่าฐานะทางครอบครัวของเขาจะค่อนข้างยากจน ถึงอย่างนั้นโอห์มก็ขวนขวายหา
ความรู้อยู่เสมอ โอห์มเข้าเรียนขั้นต้นในโรงเรียนรีลสคูลในแบมเบิร์ก หลังจากจบการศึกษาขั้นต้นแล้ว โอห์มได้เข้าศึกษาเกี่ยวกับ
วิชาคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยแห่งเมืองเออร์แลงเกน (University of Erlangen) แต่เรียนอยู่ได้เพียงปี
กว่า ๆ เท่านั้นเขาก็ลาออก เพราะขาดทุนทรัพย์ จากนั้นโอห์มได้สมัครงานเป็นครูสอนหนังสือที่ Gattstodt ในเมืองเบิร์น (Bern)
ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ต่อมาโอห์มได้เข้าศึกษาต่ออีกครั้งหนึ่ง และได้รับปริญญาเอกทางคณิตศาสตร์ แต่เขาก็ยังคงทำงาน
อยู่ที่โรงเรียนแห่งนั้นจนกระทั่วปี ค.ศ. 1817 โอห์มได้รับเชิญจากพระเจ้าเฟรดเดอริคแห่งปรัสเซีย (King Frederick of
Prussia) ให้ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์สอนวิชาคณิตศาสตร์ ประจำวิทยาลัยจีสุท (Jesuit College) แห่งมหาวิทยาลัย
โคโลญ (Cologne University) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

ต่อมาในปี ค.ศ. 1822 นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศส โจเซฟ ฟอร์เรอร์ (Joseph Fourier) ได้เผยแพร่ผลงานออกมา
เล่มหนึ่ง ชื่อว่า การไหลของความร้อน (Analytic Theory of Heat) ภายในหนังสือเล่มนี้ได้อธิบายเกี่ยวกับการเคลื่อนที่
ของความร้อนไว้ว่า "อัตราการเคลื่อนที่ของความร้อนจากจุด A ไปยังจุด B ขึ้นอยู่กับความแตกต่างระหว่างอุณหภูมิของจุด
ทั้งสอง และขึ้นอยู่กับตัวนำด้วยวาสามารถถ่ายทอดความร้อนได้ดีขนาดไหน" เมื่อโอห์มได้อ่านผลงานชิ้นนี้เขาได้เกิดความ
สนใจ ที่จะทำการทดลองเช่นเดียวกันนี้กับไฟฟ้าขึ้นบ้าง หลังจากทำการทดลองโดยอาศัยหลักการเดียวกับฟอร์เรอร์ เขาพบว่า
การเคลื่อนที่ของกระแสไฟฟ้าระหว่างจุด 2 จุด จะต้องขึ้นอยู่กับวัตถุที่นำมาใช้เป็นตัวนำไฟฟ้าเช่นกัน คือ ควรเลือกโลหะที่เป็น
ตัวนำไฟฟ้าที่ดี เช่น ทองแดง เงิน หรืออะลูมิเนียม เป็นต้น นอกจากนี้เมื่อโลหะที่เป็นตัวนำไฟฟ้ามีความร้อนมากขึ้น ก็จะทำให้
กระแสไฟฟ้าไหลได้น้อยลงด้วย หลังจากการทดลองไฟฟ้าในขั้นต้นสำเร็จลงแล้ว โอห์มได้เดินทางไปยังเมืองโคโลญ เพื่อเข้าเป็น
อาจารย์สอนที่ยิมเนเซียม (Gymnasium) ในระหว่างนี้ในปี ค.ศ. 1826 โอห์มได้จัดพิมพ์หนังสือออกมาเล่มหนึ่งชื่อว่า
Bestimmung des Gesetzes nach Welohem die Metalle die Kontaktee

ในปีต่อมาโอห์มได้ทำการทดลองเกี่ยวกับการนำไฟฟ้าต่ออีก และเขาก็พบสมบัติเกี่ยวกับการไหลของไฟฟ้าเพิ่มเติมอีก
2 ประการ คือ ความยาวของสายไฟ (ถ้ายิ่งมีความยาวมากก็จะมีความต้านทานไฟฟ้ามาก) และพื้นที่หน้าตัดของสายไฟ
(ถ้ายิ่งมีพื้นที่หน้าตัดมาก ก็จะมีความต้านทานไฟฟ้ามาก) กระแสไฟฟ้าก็ไหลได้น้อยลง การพบสมบัติข้อนี้เขาได้เขียนลงใน
หนังสือชื่อว่า Die Galvanisehe Katte Mathemetisoh Bearbeitet ภายในหนังสือเล่มนี้มีรายละเอียดเกี่ยวกับ
การทดลอง ซึ่งเขาตั้งเป็นกฎชื่อว่า กฎของโอห์ม (Ohm's Law) โดยมีหลักสำคัญว่า การเคลื่อนที่ของกระแสไฟฟ้าที่ผ่าน
ตัวนำไฟฟ้า เป็นปฏิภาคโดยตรงกับความต่างศักย์ และเป็นปฏิภาคผกปันกับความต้านทาน กล่าวคือ การเคลื่อนที่ของกระแส
ไฟฟ้า ระหว่างจุด 2 จุด ย่อมขึ้นอยู่กับสมบัติสำคัญ 4 ประการของตัวนำไฟฟ้า คือ
1. วัสดุที่ใช้เป็นตัวนำไฟฟ้าได้ดี
2. วัสดุที่ใช้ต้องทนความร้อนได้สูง
3. ความยาวของสายไฟต้องไม่มากจนเกินไป
4. พื้นที่หน้าตัดของสายไฟต้องไม่ใหญ่จนเกินไป

โดยสามารถคำนวณความต่างศักย์ระหว่างจุดทั้ง 2 จากสมการดังต่อไปนี้ I = E/R โดย
I หมายถึง ปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ไหลในสายไฟตัวนำ
E หมายถึง แรงเคลื่อนทางไฟฟ้า
R หมายถึง ความต้านทานของสายไฟตัวนำ

จากผลงานชิ้นดังกล่าว แทนที่โอห์มจะได้รับยกย่องแต่เขากลับได้รับการต่อต้านอย่างมากจากชาวเยอรมันเเนื่องจากความ
ไม่รู้ และไม่เข้าใจนั่นเอง ทำให้ในระหว่างนี้โอห์มได้รับความลำบาก แต่ชาวต่างประเทศกลับเห็นว่าผลงานชิ้นนี้ของโอห์มเป็น
งาน ที่มีคุณประโยชน์มากและในปี ค.ศ. 1841 โอห์มได้รับมอบเหรียญคอพเลย์ (Copley Medal) จากราชสมาคมแห่งกรุง
ลอนดอน (Royal Society of London) และในปีต่อมาเขาก็ได้รับเชิญให้ร่วมสมาคมนี้ด้วย เมื่อรัฐบาลเยอรมนี เห็นดังนั้น
จึงเริ่มหันมาให้ความสนในโอห์ม และในปี ค.ศ. 1849 เมื่อโอห์มเดินทางกลับจากประเทศอังกฤษ เขาได้รับเชิญให้เป็น
ศาสตราจารย์ ประจำมหาวิทยาลัยมิวนิค (Munich University) ไม่เฉพาะเรื่องไฟฟ้าเท่านั้นที่โอห์มทำการค้นคว้า เขายัง
ค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องแสงด้วย แต่ไม่เป็นที่สนใจมากเท่ากับเรื่องไฟฟ้า โอห์มเสียชีวิตในวันที่ 27 กรกฎาคม ค.ศ. 1854 ที่มิวนิค
ประเทศเยอรมนี ถึงแม้ว่าเขาจะเสียชีวิตไปแล้วแต่ชื่อของเขาก็ยังถูกนำมาใช้เป็นหน่วยวัดความต้านทานไฟฟ้า ในปี ค.ศ. 1881
สมาคมไฟฟ้านานาชาติ (Internation Congress of Electrical Engineers) ได้ตกลงร่วมกันที่กรุงปารีสว่าควรใช้ชื่อ
ของโอห์ม เป็นหน่วยวัดความต้านทานไฟฟ้า โดยความต้านทาน 1 โอห์ม หมายถึง กระแสไฟฟ้า 1 แอมแปร์ ไหลผ่านบนตัวนำ
ไฟฟ้าภายใต้ความต่างศักย์ไฟฟ้า 1 โวลต์

วันเสาร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ขำๆกัน..วันละนิด(32) ... โดยครูป้อม

     ครั้งหนึ่งมีแม่ชีสาวสวยและบาทหลวงวัยกลางคน เดินทางรอนแรมไปเพื่อสอนศาสนาทั้งคู่ได้ขี่อูฐเพื่อเดินทางข้ามทะเลทรายอันเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกกตา แม้ว่าจะเดินทางเป็นเวลาหลายวัน แต่ทั้งคู่ก็ยังข้ามไม่พ้นทะเลทรายซะทีและแล้วในที่สุด อูฐที่ทั้งคู่ขี่มาก็ล้มลงและขาดใจตาย.. 
 บาทหลวงรู้ดีว่าวาระสุดท้ายกำลังจะมาถึง จึงได้หันไปที่แม่ชี แล้วได้พูดว่า..
"ซิสเตอร์นี่คงจะเป็นวาระสุดท้ายของเราแล้ว เจ้าอยากจะได้อะไร"

แม่ชีหันกลับมามองบาทหลวงแล้วตอบว่า..
"คุณพ่อ ตลอดชีวิตที่ดิฉันรับใช้พระเจ้ามาตั้งแต่เกิดจนอายุได้ 19 ปีนี้ ยังไม่เคยเห็นผู้ชายเปลีอยเปล่าเลยสักครั้ง ถ้าได้เห็น ดิฉันคงตายตาหลับ"

บาทหลวงได้ฟัง ก็ตกใจมาก กล่าวว่า..
"ซิสเตอร์ ข้าไม่นึกเลยว่าจะได้ยินเรื่องแบบนี้ แต่เอาเถอะ ไหนๆเราก็จะต้องตายแล้ว เราก็จะสงเคราะห์เจ้าสักครั้ง" ว่าแล้วบาทหลวงก็ยืนขึ้น แล้วถอดชุดออกโยนกองลงกับพื้น

 แม่ชีหันมามองบาทหลวงตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วเธอก็อุทานเสียงตื่นเต้นชี้ไปตรงกลางระหว่างขาของบาทหลวงแล้วถามว่า..
"คุณพ่อคะ นั่นคืออะไรคะ"
บาทหลวงได้ฟังคำถาม ก็งงไม่รู้จะตอบว่าอะไร แล้วในที่สุดเขาก็ตอบว่า..
" นี่น่ะ คือไม้เท้าแห่งชีวิต หากเสียบมันลงไปในช่องของเพศเมีย ในไม่ช้าก็จะมีชีวิตใหม่เกิดมา"

แม่ชีได้ฟังอย่างนั้น ก็จ้องมองด้วยใบหน้าแดงกล่ำด้วยความตื่นเต้นพลางพูดว่า..
"คุณพ่อคะ เร็วสิคะ ใช้ไม้เท้าของท่านเสียบคุณเจ้าอูฐนี่สิ เราจะได้มีอูฐตัวใหม่มาขี่กัน"...


ขอขอบคุณ "ไม้เท้า"
 ครูป้อม คนล่าฝัน

วันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

พลังสมาธิ (อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์) ... โดยครูป้อม

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ กล่าวก่อนตายว่า..

"พลังสมาธิเป็นพลังที่มีอำนาจที่สุด และมีประสิทธิภาพที่สุดในโลก"


 
-ทำ สมาธิเพียง 45 นาที จะเกิดกระแสไฟฟ้าในร่างกายสูงกว่าค่าที่วัดได้จากคลื่นหัวใจ (EKG) 10,000 เท่า สูงกว่าค่าคลื่นสมอง 100,000 เท่า..

-คลื่น แสง (ซึ่งมีอนุภาค phyton) มีความเร็ว 300,000 กม./วินาที เคยชื่อกันว่ามีความเร็วสูงสุดในโลก แต่ปัจจุบันเชื่อว่าคลื่นสมองขณะมีสมาธิเร็วกว่าแสง เพราะมีอนุภาพ trachyon เคลื่อนที่ได้เร็วกว่าแสงเพราะอนุภาคนี้เป็นกลาง (ไม่มีประจุไฟฟ้า) ผ่านสนามแม่เหล็กได้โดยไม่ถูกรบกวน..

-ขณะที่ท่านวาดภาพ หรือ เขียนหนังสือด้วยสมาธิจิต พลังสมาธิจะเป็น พลังงานสถิต อยู่ในนั้นได้นานแสนนาน เช่น ตรวจพบพลังงานสถิตบน ภาพวาดของลีโอนาโด ดาวินชี่ แม้เวลาผ่านไปเป็นศตวรรษแล้วก็ตาม
..

 
-พลัง สมาธิเป็นพลังงานที่ยิ่งใหญ่ เป็นมหาสมบัติทางธรรมชาติที่มี อยู่ในร่างกายมนุษย์ ซึ่งเราสามารถนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์กับสุขภาพ ความสงบเย็นเป็นสุข ความเจริญรุ่งเรือง และการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง ตามที่เราปรารถนาได้อย่างมหัศจรรย์...

คนล่าฝัน... คนเก่ง...

ครูป้อมสบายดีไหมถ้าสบายดี
 ช่วยตอบมาบอกผมหน่อยนะครับ...