มาเล่าความรู้สึกเขียน "ความฝัน" ถึงจะเป็นเพียงแค่ความฝัน แต่สักวันฝันนั้นจะกลายเป็นความจริงนะครับ
วันพฤหัสบดีที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2553
วันพุธที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2553
วันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2553
วันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2553
จงเชื่อมั่นในตัวเอง(Be yourself)...
เรื่องนี้เป็นความโลภของเจ้ากบน้อย..
ความอยากเป็นนั้น อยากเป็นนี้ ทำให้ความคิดฟุ้งซ่าน
"The best to be yourself."
ความอยากเป็นนั้น อยากเป็นนี้ ทำให้ความคิดฟุ้งซ่าน
"The best to be yourself."
กบฟุ้งซ่านตัวหนึ่งนั่งอยู่ข้างกำแพงวัด ทุกเช้ามันเฝ้าดูพระออกเดินบิณฑบาตตั้งแต่เช้ามืด พอพระกลับมา ถึงวัดเพื่อฉันเช้า...
กบน้อยนึกในใจอยากเกิดเป็นพระ เพราะเป็นพระสบายดี มีคนถวายอาหารให้กินทุกวัน เมื่อพระฉันเสร็จก็นำอาหารที่เหลือมากมายนั้นไปให้เด็กวัดกินต่อ แล้วเด็กวัดก็กินกันอย่างเอร็ดอร่อย..
ตอนนี้..กบเปลี่ยนใจอยากเกิดเป็นเด็กวัดแล้ว เพราะสบายกว่าพระ มันเห็นเด็กวัดหลายคนตื่นสายได้และไม่ต้องออกตามพระไปบิณฑบาตก็ได้สบายกว่าเยอะเลย เมื่อเด็กวัดกินเสร็จก็โกยเศษอาหารที่เหลือทั้งหมดให้หมาวัดไปกินแล้วเด็กวัดทุกคนก็ไปช่วยกันล้างจาน..
ถึงตอนนี้..กบเปลี่ยนใจอยากเกิดเป็นหมาวัดแล้ว เพราะไม่ต้องล้างจานเหมือนเด็กวัด สบายกว่า พอหมาวัดกินอาหารเสร็จก็แยกย้ายไปทำหน้าที่เฝ้าบริเวณวัด คอยเห่าคนแปลกหน้า ฝูงแมลงวันก็บินมาตอมและกินเศษอาหารต่อจากหมาวัด..
ถึงตอนนี้..กบเปลี่ยนใจ(อีกแล้ว) อยากเกิดเป็นแมลงวัน เพราะสบายที่สุดไม่ต้องทำอะไรเลย หนำซ้ำยังมีกองอาหารให้กินไม่มีหมดด้วย ขณะที่เจ้ากบฟุ้งซ่านกำลังคิดเพลินๆอยู่นั้น พอดีหันมาเห็นแมลงวันบินมาใกล้ๆ จึงใช้ลิ้นตวัดเอาแมลงวันเข้าปากตัวเองกินโดยสัญชาตญาณ ..
ถึงตอนนี้.. กบฟุ้งซ่านจึงบรรลุธรรมฉับพลันคิดได้ว่า..
เอ้อ!! เป็นตัวของเราเองนี่แหละดีที่สุดเลย(The best to be yourself)..
"คนเราทุกคนไม่สามารถเลือกที่จะเกิดได้ แต่ชีวิตของเราเราสามารถเลือกที่เป็นอย่างที่เราคาดหวังไว้ได้ทุกคน ถ้ามีความมุ่งมั่นและแน่วแน่พอนะครับ.."
วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2553
รวมนานาสัตว์โลก หาดูได้ยาก...
| |||
| |||
| |||
| |||
| |||
| |||
| |||
| |||
| |||
| |||
| |||
| |||
| |||
วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2553
เรื่องดีๆ จากผีเสื้อตัวน้อย...
เรื่องที่สอนแง่คิดของคนเราครับ..
"ชีวิตที่ผ่านมาของใครบางคน ไม่เคบเผชิญกับอุปสรรคใดเลย
เมื่อมาพบเจอกับอุปสรรคทำให้ถดถอย จนไม่กล้าเผชิญกับอุปสรรคนั้นๆ"
เขาเห็นมันพยายามดิ้นรนจะพ้นจากช่องเล็ก ๆ ของรังไหมให้ได้ แต่เมื่อไม่สำเร็จ เจ้าตัวน้อยก็หยุดเคลื่อนไหว เหมือนจะยอมรับว่าไม่อาจขืนทำอะไรได้มากไปกว่านั้น เมื่อตัดสินใจได้ว่าจะช่วยตัวอ่อนแล้วชายคนนั้นจึงหยิบกรรไกรขึ้นมาตัดเปิด ช่องรังไหมจนกว้างพอที่ตัวอ่อนจะสามารถออกมาได้อย่างง่ายดาย..
ตัวอ่อนผีเสื้อน้อยจึงออกมาเผชิญโลกทั้งสภาพร่างกายบวมกลม ตรงข้ามกับปีกที่มีขนาดเล็กนิดเดียว! แต่เขาก็เฝ้าจับตามองตัวอ่อนนั้นต่อไปด้วยความหวังว่า อีกไม่ช้าปีกของมันจะขยายใหญ่ขึ้นและแข็งแรงพอจะพยุงร่างกายมันได้เมื่อถึงเวลาอันควร..
แต่เมื่อเวลาผ่านไปกลับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง! ผีเสื้อน้อยต้องเดินและคลานไปมาทั้งชีวิต ด้วยสภาพร่างกายบวมกลมและปีกแห้งเล็กที่ไม่มีโอกาสจะบินได้ ภายใต้การดูแลอย่างอ่อนโยนของชายผู้หวังดี สิ่งที่ชายคนนี้ไม่เคยเข้าใจก็คือ ธรรมชาติได้กำหนดมาแล้วว่า ตัวอ่อนจะออกไปเผชิญโลกได้ก็ต่อเมื่อของเหลวในร่างกายลดน้อยลง จนลำตัวมีขนาดสมดุลกับปีกเท่านั้น จึงจะสามารถลอดออกจากช่องว่างขนาดเล็กของรังไหมได้สำเร็จและถ้าตัวอ่อนได้ผ่านการดิ้นรนจนถึงเวลานั้น มันจึงจะเติบโตเป็นผีเสื้อที่พร้อมโบกบินจากรังได้อย่างอิสระโดยแท้..
"การมีชีวิตอยู่โดยไม่ต้องผ่านอุปสรรคใดๆ เลย จึงมีแต่จะทำให้เราพิการและไม่แข็งแรง การดิ้นรนฝ่าฟันอุปสรรคต่างหากที่เป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินชีวิต ซึ่งจะช่วยให้เรายืนหยัดอยู่ได้อย่างแข็งแกร่ง "
วันพุธที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2553
วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553
ศิษย์ผู้น่าสงสารคนนี้ ไม่รู้กระทั่งว่าอะไรผิดอะไรถูก...
เรื่องนี้ดีมากครับ การสอนศิษย์ของอาจารย์บันไก..
โดยใช้หลักการให้คนทำผิดสำนึก รู้ตัว โดยไม่ต้องไปทำโทษ
เมื่อเขารู้ว่ามันไม่ใช่แล้ว เขาจะใคร่ครวญหาทางที่ถูกที่ควรเอง
เวลาที่อาจารย์บันไกจัดสัปดาห์แห่งการปฏิบัติกรรมฐาน มีศิษย์อยู่ปฏิบัติจากส่วนต่างๆของประเทศญี่ปุ่นเป็นจำนวนมาก คราวหนึ่งศิษย์คนหนึ่งโดนจับด้วยข้อหาลักทรัพย์ พวกเขาจึงรายงานให้อาจารย์บันไกทราบ พร้อมเสนอเนรเทศเจ้าขโมยคนนั้น แต่อาจารย์บันไกก็เฉยเสีย
ต่อมา..ศิษย์คนนั้นโดนจับด้วยความผิดเช่นเดียวกัน อาจารย์บันไกก็เฉยเสียอีก เหตุการณ์เช่นนี้ทำให้ศิษย์คนอื่นๆ ไม่พอใจ จึงยื่นข้อเสนอให้อาจารย์ขับเจ้าหัวขโมยคนนั้นออกให้ได้ หาไม่พวกเขาจะพากันออกไปหมด
เมื่ออ่านข้อเสนอ อาจารย์บันไกเรียกประชุมศิษย์ทั้งหมด กล่าวว่า "พวกเธอเป็นคนฉลาด รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก พวกเธอจะไปที่ไหนก็ไปเถิด แต่ศิษย์ผู้น่าสงสารคนนี้ ไม่รู้กระทั่งว่าอะไรผิดอะไรถูก ถ้าฉันไม่สอนเขา แล้วใครเล่าจะสอน ฉันจะต้องให้เขาอยู่ที่นี่แหละ แม้ว่าพวกเธอจะจากฉันไปทั้งหมดก็ตาม" น้ำตาได้ไหลอาบแก้มเจ้าศิษย์ขี้ขโมย เขาตัดสินใจเลิกขโมยแต่นั้นมา
ต่อมา..ศิษย์คนนั้นโดนจับด้วยความผิดเช่นเดียวกัน อาจารย์บันไกก็เฉยเสียอีก เหตุการณ์เช่นนี้ทำให้ศิษย์คนอื่นๆ ไม่พอใจ จึงยื่นข้อเสนอให้อาจารย์ขับเจ้าหัวขโมยคนนั้นออกให้ได้ หาไม่พวกเขาจะพากันออกไปหมด
เมื่ออ่านข้อเสนอ อาจารย์บันไกเรียกประชุมศิษย์ทั้งหมด กล่าวว่า "พวกเธอเป็นคนฉลาด รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก พวกเธอจะไปที่ไหนก็ไปเถิด แต่ศิษย์ผู้น่าสงสารคนนี้ ไม่รู้กระทั่งว่าอะไรผิดอะไรถูก ถ้าฉันไม่สอนเขา แล้วใครเล่าจะสอน ฉันจะต้องให้เขาอยู่ที่นี่แหละ แม้ว่าพวกเธอจะจากฉันไปทั้งหมดก็ตาม" น้ำตาได้ไหลอาบแก้มเจ้าศิษย์ขี้ขโมย เขาตัดสินใจเลิกขโมยแต่นั้นมา
วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553
วันอาทิตย์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2553
คำสอนของคุณตาที่สั่งสอนหลานๆ(ตะเกียง)...
คุณตามีความรักให้กับหลานๆ จนวินาทีสุดท้าย หลานคนที่คิดได้คงประเสริฐ
ส่วนหลานคนที่คิดไม่ได้ในคำสอนของตาคงจะใช้ชีวิตอยูร่วมกับผู้อื่นได้ลำบาก
"อย่ามองมุมของเรามุมเดียวแล้วตัดสินเพราะคนเรามันต่างความคิดต่างมุมมอง"
นานมาแล้วมีตาแก่ผู้น่าสงสารอยู่คนนึงเมียและลูกแกเสียชีวิตไปนานแล้ว แต่แกก็ยังต้องมีภาระเลี้ยงหลานๆ อีกสี่คนที่ชอบเอาแต่ใจตัวเอง วันๆ ไม่ทำ ไม่ช่วยอะไรเลย ดีแต่ทะเลาะกันทุกวัน ว่าคนนั้นผิด คนนี้ผิด ที่ไม่ทำอย่างนั้น ไม่ทำอย่างงี้..
จนมาวันนึงตาแก่ป่วยหนักกำลังจะตายก็ยังอดห่วงหลานไม่ได้ เพราะแกกลัวว่าหลานที่เอาแต่ใจตัวเอง
จะอยู่ในสังคมในโลกที่มีแต่คำว่า "กูเก่ง" ไม่ได้
ก่อนตายแกจึงเรียกหลานทั้งสี่มานั่งล้อมวงที่โต๊ะสี่เหลี่ยมแล้วให้หลานเอาผ้าผูกปิดตาไว้ทั้งสี่คน หลังจากนั้นแกก็ไปหยิบตะเกียงทรงสี่เหลี่ยมมาหนึ่งอันซึ่งแต่ละด้านมีสีต่างกันมาตั้งไว้กลางโต๊ะที่เด็กทั้งสี่นั่งล้อมอยู่แล้วให้หลานทั้งสี่ เปิดผ้าผูกตาออกพร้อมกัน จากนั้นตาแก่ก็ถามหลานทั้งสี่คนว่า
"เห็นตะเกียงสีอะไร"
หลานคนแรกบอกเห็น "สีแดง"
คนที่สองบอกเห็น "สีเหลือง"
คนที่สามบอกเห็น "สีเขียว"
คนที่สี่บอกเห็น "สีน้ำเงิน"
แล้วทั้งสี่ก็เริ่มทะเลาะกันอีกว่าสีที่ตัวเองเห็นนั้นถูกต้อง จนตาแก่บอกว่าไม่มีใครผิด ใครถูกหรอกหลานเอ๋ย
"เพราะตะเกียงมันมีสี่ด้าน"
คนที่สองบอกเห็น "สีเหลือง"
คนที่สามบอกเห็น "สีเขียว"
คนที่สี่บอกเห็น "สีน้ำเงิน"
แล้วทั้งสี่ก็เริ่มทะเลาะกันอีกว่าสีที่ตัวเองเห็นนั้นถูกต้อง จนตาแก่บอกว่าไม่มีใครผิด ใครถูกหรอกหลานเอ๋ย
"เพราะตะเกียงมันมีสี่ด้าน"
ถ้าใครอยากรู้ว่า ทำไมคนอื่นถึงเห็นสีไม่เหมือนเรา
"เราก็ต้องเดินไปดูในมุมของเค้าเราก็จะเข้าใจว่าทำไมเค้าถึงบอกว่าเค้าเห็นสีนั้น อย่ามองมุมของเรามุมเดียวแล้วตัดสินเพราะคนเรามันต่างความคิดต่างมุมมอง" พอตาแก่พูดจบ แสงในตะเกียงก็ดับลงพร้อมกับชีวิตของแก..
วันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2553
หนูอยากขอชื้อเวลาจากพ่อสัก 1 ชั่วโมง ได้ไหมฮะ...
สำหรับคนอ่านที่มีคุณพ่อให้เฝ้ารอค่อยครับ..
พ่อ แม่ บางคนอาจจะไม่มีเวลาให้กับลูกๆ ในครอบครัว เพราะยุ่งแต่กับงาน
งานก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต แต่ลูกๆ ในครอบครัวก็เป็นส่วนเสี้ยวของชีวิตโดยแท้
"คนที่มีพ่อ ขอให้รักคุณพ่อและบอกรักท่าน ในขณะที่คุณยังมีโอกาสนะครับ อย่ารอให้ถึงวันที่ท่านสิ้นลมหายใจ"
ชายหนุ่มเลิกงานและกลับเข้าบ้านช้า ด้วยความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าและพบว่าลูกชายวัย 5 ขวบรอคุณพ่ออยู่ที่หน้าประตู
ลูก: “พ่อครับ พ่อผมมีคำถามถามพ่อข้อนึง”
พ่อ: “ว่ามาสิลูก,อะไรเหรอ”
พ่อ: “ว่ามาสิลูก,อะไรเหรอ”
ลูก: “พ่อทำงานได้เงินชั่วโมงละเท่าไหร่”
พ่อ: “ไม่ใช่โกงการอะไรของลูกนี่ ทำไมถามอย่างนี้ล่ะ” พ่อตอบด้วยความโมโห
พ่อ: “ไม่ใช่โกงการอะไรของลูกนี่ ทำไมถามอย่างนี้ล่ะ” พ่อตอบด้วยความโมโห
ลูก: “ผมอยากรู้จริง ๆ โปรดบอกผมเถอะ พ่อทำงานได้เงินชั่วโมงละเท่าไหร่” ลูกพูดร้องขอ
พ่อ: “ถ้าจำเป็นจะต้องรู้ละก็ พ่อได้ชั่วโมงละ 20 เหรียญ”
พ่อ: “ถ้าจำเป็นจะต้องรู้ละก็ พ่อได้ชั่วโมงละ 20 เหรียญ”
ลูก: “โอ!!..” ลูกอุทานแล้วคอตก พูดกับพ่ออีกครั้ง
ลูก: “พ่อครับ ผมอยากขอยืมเงิน 10เหรียญ”
ลูก: “พ่อครับ ผมอยากขอยืมเงิน 10เหรียญ”
พ่อกล่าวด้วยอารมณ์
พ่อ: “นี่เป็นเหตุผลที่แกถาม เพื่อจะขอเงิน แล้วไปซื้อของเล่นโง่ๆ หรืออะไรที่ไม่เข้าท่าหรอกเหรอ รีบขึ้นไปนอนเลยนะ แล้วลองคิดดูว่าแกน่ะ เห็นแก่ตัวมาก ฉันทำงานหนักหลาย ๆ ชั่วโมงทุกวันและไม่มีเวลาสำหรับเรื่องเด็กๆ ไร้สาระอย่างนี้หรอก”
พ่อ: “นี่เป็นเหตุผลที่แกถาม เพื่อจะขอเงิน แล้วไปซื้อของเล่นโง่ๆ หรืออะไรที่ไม่เข้าท่าหรอกเหรอ รีบขึ้นไปนอนเลยนะ แล้วลองคิดดูว่าแกน่ะ เห็นแก่ตัวมาก ฉันทำงานหนักหลาย ๆ ชั่วโมงทุกวันและไม่มีเวลาสำหรับเรื่องเด็กๆ ไร้สาระอย่างนี้หรอก”
เด็กน้อยเงียบลงเดินไปที่ห้องแล้วปิดประตู ชายหนุ่มนั่งลงและยังโกรธอยู่กับคำถามของลูกชาย เค้ากล้าที่จะถามคำถามนั้น เพื่อจะขอเงินได้อย่างไร
หลังจากนั้นเกือบชั่วโมงอารมณ์ชายหนุ่มก็เริ่มสงบลงและเริ่มคิดถึงสิ่งที่ทำลงไปกับลูกชายตัวน้อยบางทีเขาอาจจำเป็นต้องใช้เงิน 10 เหรียญนั้นจริงๆ และลูกก็ไม่ได้ขอเงินเขาบ่อยนัก ชายหนุ่มจึงเดินขึ้นไปบนห้องแล้วเปิดประตู
พ่อ: “หลับหรือยังลูก”
ลูก: “ยังครับ”
พ่อ: “พ่อมาคิดดู เมื่อกี้พ่ออาจทำรุนแรงกับลูกเกินไป นานแล้วนะที่พ่อไม่ได้คลุกคลีกับลูก , เอ้า นี่เงิน 10 เหรียญที่ลูกขอ”
ลูก: “ยังครับ”
พ่อ: “พ่อมาคิดดู เมื่อกี้พ่ออาจทำรุนแรงกับลูกเกินไป นานแล้วนะที่พ่อไม่ได้คลุกคลีกับลูก , เอ้า นี่เงิน 10 เหรียญที่ลูกขอ”
เด็กน้อยลุกขึ้นนั่ง
ลูก: “ขอบคุณครับพ่อ”
ลูก: “ขอบคุณครับพ่อ”
ว่าแล้วก็ล้วงลงไปใต้หมอนหยิบเงินจำนวนหนึ่งออกมา แล้วนับช้าๆ ชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็โกรธขึ้นอีกครั้ง
พ่อ: “ก็มีเงินแล้วนี่ แล้วมาขออีกทำไม”
ลูก: “เพราะผมมีไม่พอครับ แต่ตอนนี้ผมมีครบแล้ว พ่อครับตอนนี้ผมมีเงินครบ 20 เหรียญแล้ว ผมขอซื้อเวลาพ่อชั่วโมงนึง พรุ่งนี้พ่อกลับบ้านเร็ว ๆ นะครับ ผมอยากกินข้าวเย็นกับพ่อ”
ลูก: “เพราะผมมีไม่พอครับ แต่ตอนนี้ผมมีครบแล้ว พ่อครับตอนนี้ผมมีเงินครบ 20 เหรียญแล้ว ผมขอซื้อเวลาพ่อชั่วโมงนึง พรุ่งนี้พ่อกลับบ้านเร็ว ๆ นะครับ ผมอยากกินข้าวเย็นกับพ่อ”
วันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2553
เจ้าจะเป็นน้ำหนึ่งแก้วหรือเป็นลำน้ำสายหนึ่ง...
นิทานเซนเรื่องนี้ สอนแง่คิดให้ผมได้รู้ว่า..
"คนเราหากต้องการใช้ชีวิตบนโลกอย่างมีความสุข ทุกข์น้อย
วิธีการคือต้องลดความทุกข์ เปิดใจให้กว้าง เมตตาต่อตนเอง อดกลั้นต่อผู้อื่น
จึงจะมีชีวิตที่สุขสบาย ดำเนินชีวิตด้วยความเยือกเย็น นิ่งสงบ ไม่เร่งร้อน"
วิธีการคือต้องลดความทุกข์ เปิดใจให้กว้าง เมตตาต่อตนเอง อดกลั้นต่อผู้อื่น
จึงจะมีชีวิตที่สุขสบาย ดำเนินชีวิตด้วยความเยือกเย็น นิ่งสงบ ไม่เร่งร้อน"
อาจารย์เซนผู้หนึ่งมีศิษย์ที่ชอบร้องทุกข์คร่ำครวญอยู่คนหนึ่งและเนื่องจากทัศนะคติที่คับแคบนี้เอง ทำให้ศิษย์ผู้นี้มักจะมีแต่ความทุกข์กังวลจิตใจไม่เป็นสุข
วันหนึ่งอาจารย์เซนสั่งให้ศิษย์คนดังกล่าวไปตลาดซื้อเกลือมาถุงหนึ่ง เมื่อศิษย์กลับมาจึงสั่งให้นำเกลือมาหยิบมือหนึ่ง โปรยลงไปในแก้วบรรจุน้ำ แล้วให้ศิษย์ดื่มลงไป พลางกล่าวถามว่า
วันหนึ่งอาจารย์เซนสั่งให้ศิษย์คนดังกล่าวไปตลาดซื้อเกลือมาถุงหนึ่ง เมื่อศิษย์กลับมาจึงสั่งให้นำเกลือมาหยิบมือหนึ่ง โปรยลงไปในแก้วบรรจุน้ำ แล้วให้ศิษย์ดื่มลงไป พลางกล่าวถามว่า
“รสชาติของน้ำเป็นอย่างไร?”
“เค็มจนขม” ศิษย์ตอบด้วยใบหน้าแหย่ะ
จากนั้น อาจารย์เซนได้พาศิษย์ไปยังริมทะเลสาบ สั่งให้นำเกลือที่เหลือโปรยลงไปในทะเลสาบจนหมดสิ้น แล้วกล่าวว่า
“ลองดื่มน้ำจากทะเลสาบดูสิ” ศิษย์จึงก้มตัวลงไปวักน้ำจากทะเลสาบขึ้นมาดื่ม
อาจารย์เซนถามอีกว่า “คราวนี้รสชาติเป็นอย่างไรบ้าง?”
ศิษย์ตอบว่า “รสชาติหวานสะอาด บริสุทธิ์ยิ่ง”
“ยังมีรสเค็มหรือไม่?” อาจารย์ถามต่อ
“ไม่มีแล้วครับ!” ศิษย์ตอบ
อาจารย์เซนได้ฟังจึงผงกศีรษะเล็กน้อย ยิ้มพลางเอ่ยสืบไปว่า
“ความทุกข์ในชีวิตคนเราก็เป็นดั่งเกลือมันจะมีรสเค็มหรือรสจืด ล้วนขึ้นอยู่กับภาชนะที่รองรับ ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะเป็นน้ำหนึ่งแก้ว หรือเป็นลำน้ำสายหนึ่ง”
“เค็มจนขม” ศิษย์ตอบด้วยใบหน้าแหย่ะ
จากนั้น อาจารย์เซนได้พาศิษย์ไปยังริมทะเลสาบ สั่งให้นำเกลือที่เหลือโปรยลงไปในทะเลสาบจนหมดสิ้น แล้วกล่าวว่า
“ลองดื่มน้ำจากทะเลสาบดูสิ” ศิษย์จึงก้มตัวลงไปวักน้ำจากทะเลสาบขึ้นมาดื่ม
อาจารย์เซนถามอีกว่า “คราวนี้รสชาติเป็นอย่างไรบ้าง?”
ศิษย์ตอบว่า “รสชาติหวานสะอาด บริสุทธิ์ยิ่ง”
“ยังมีรสเค็มหรือไม่?” อาจารย์ถามต่อ
“ไม่มีแล้วครับ!” ศิษย์ตอบ
อาจารย์เซนได้ฟังจึงผงกศีรษะเล็กน้อย ยิ้มพลางเอ่ยสืบไปว่า
“ความทุกข์ในชีวิตคนเราก็เป็นดั่งเกลือมันจะมีรสเค็มหรือรสจืด ล้วนขึ้นอยู่กับภาชนะที่รองรับ ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะเป็นน้ำหนึ่งแก้ว หรือเป็นลำน้ำสายหนึ่ง”
วันพุธที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2553
สิ่งที่มีอยู่คือโอกาส สิ่งใหม่คือความหวัง(ก้อนหินวิเศษ)...
เรื่องสั้นดีๆ ที่ผมอ่านแล้วรู้สึกดีอีกหนึ่งเรื่องมาแน่นำให้ลองอ่านครับ
บางทีคนเราเฝ้ารอโอกาสจากคนอื่นโดยไม่ลงมือทำเองเลย ก็ไร้ซึ่งความหมาย
นานมาแล้วได้ยินมาว่ามีหินวิเศษอยู่ชนิดหนึ่ง ถ้าผู้ใดที่ได้ครอบครองจะสามารถนำไปแตะกับสิ่งของอะไรก็ได้ สิ่งนั้นจะกลายเป็นทองคำ ทำให้ชายผู้หนึ่งเกิดความสนใจ อยากจะเปลี่ยนแปลงชีวิตให้เป็นคนร่ำรวยขึ้นมา
เขาจึงออกตามหาหินก้อนนั้นเป็นการใหญ่ เมื่อตามหาจนถึงชายหาดแห่งหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยก้อนหิน เขาจึงตัดสินใจเก็บหินขึ้นมาดูทีละก้อน ถ้าก้อนไหนไม่ใช่ก็จะขว้างมันลงทะเลไป
เขาใช้ความพยายามอยู่นาน จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี ก้อนแล้วก้อนเล่าก็ยังไม่ใช่สิ่งที่เขาค้นหาอยู่ดีและในที่สุดความพยายามของเขาก็ประสบความสำเร็จจนได้เขาได้พบกับหินวิเศษจริงๆ แต่ไม่ทันที่เขาจะได้คิดอะไร เขาก็ขว้างมันลงทะเลไปเหมือนหินก้อนที่ผ่านๆ มา เขาตกใจมาก ถึงกับรำพันออกมาว่า "ต้องเริ่มต้นใหม่อีกแล้วหรือเนี่ย"
ในชายหาดนั้นจะมีหินวิเศษชนิดนี้สักกี่ก้อนกันเชียวเหตุผลที่ทำให้ชายคนนี้ละทิ้ง สิ่งที่เขาค้นหามานานก็คือความเคยชินนั่นเอง บ่อยครั้งที่เราพยายามค้นหาสิ่งที่ต้องการมาตลอดชีวิต จนกระทั่งวันหนึ่งที่เรามีโอกาสพบมันแล้ว แต่ด้วยความเคยชินในชีวิตประจำวัน เราก็มองข้าม โอกาสนั้นไป โอกาสที่อาจจะไม่ปรากฏบ่อยนัก เราจึงต้องเริ่มต้นใหม่อยู่ร่ำไป
อย่าคิดแต่จะเริ่มต้นใหม่เพราะสิ่งที่มีอยู่คือโอกาส สิ่งใหม่คือความหวัง ทิ้งเก่าไปหาใหม่ก็เท่ากับทิ้งโอกาสที่มีอยู่แล้วไปรอความหวัง ที่ยังมาไม่ถึง
วันจันทร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2553
"พ่อ" รักลูกทุกๆ คนนะลูกรักของพ่อ...
นิทานแง่คิด มุมมองที่มอบให้ลูกๆ อ่านดูนะครับว่า..
เมื่อพ่อเลี้ยงเรามาจนเติบใหญ่แล้ว เราตอบแทนอะไรคืนให้ท่านบ้าง?
กาลครั้งหนึ่งยังมีคุณลุงอยู่ท่านหนึ่ง ในช่วงวัยหนุ่มคุณลุงท่านนี้เป็นหัวหน้าคนงานอยู่ในเหมืองทองคำ มีรายได้ดีมาก แต่คุณลุงท่านนี้ไม่เคยเก็บเงินเลย มีเท่าไรก็ใช้หมด เนื่องจากคุณลุงเป็นคนจิตใจดี ใครมาหยิบยืมก็ให้ เลี้ยงเพื่อนฝูงตลอด คุณลุงมีเพื่อนเยอะมาก จนกระทั่งคุณลุงท่านนี้เกษียณอายุจากการทำงาน ปรากฎว่า ไม่มีเงินเหลือเลย จากชีวิตการทำงานอันยาวนาน คุณลุงมีลูกอยู่ 5 คน เมื่อคุณลุงไม่มีเงินก็จำเป็นต้องไปอาศัยอยู่บ้านลูกๆ ทั้ง 5 คน
วันจันทร์ ไปอยู่บ้านลูกสาว ก็ถูกลูกเขยพูดจากระทบกระเทียบ เช่น ทำไมคุณพ่อคุณไม่ไปบ้านลูกคนอื่นบ้างนะ ผมจะทำอะไรก็อึดอัดจริงๆ
วันอังคาร ไปอยู่บ้านลูกชาย ก็ถูกหลานและลูกสะใภ้กระทบกระเทียบ เช่น รำคาญคุณปู่จังเลย กับข้าวที่หนูชอบดูสิคุณปู่ทานหมดเลย ทำไมคุณปู่ไม่ไปบ้านอื่นบ้าง
เป็นเช่นนี้ตลอดคุณลุงก็เปลี่ยนไปอยู่บ้านลูกคนนั้นที คนนี้ที ก็ถูกลูกบ้าง ลูกเขยบ้าง ลูกสะใภ้บ้าง หลานบ้างพูดจาถากถางอยู่ตลอด แต่คุณลุงก็ต้องทน เพราะคุณลุงไม่มีเงินเก็บแม้แต่บาทเดียว
อยู่มาวันหนึ่งคุณลุงตัดสินใจเรียกลูกๆ ทุกคนมาแล้วบอกว่า พ่อจะไม่อยู่สัก 2 ปีนะลูก เพราะเพื่อนพ่อที่เป็นเจ้าของเหมืองทองคำมันเขียนจดหมายมาขอร้องให้พ่อไปช่วยงานที่เหมืองทองคำของมัน พ่อจำเป็นต้องไปช่วยเขาจริงๆ ลูกๆ ได้ฟังก็ดีใจสนับสนุนเพื่อให้คุณลุงท่านนี้ไปให้พ้นๆ จะได้ไม่เป็นภาระอีกต่อไป
เมื่อครบ 2 ปี คุณลุงท่านนี้กลับมาพร้อมกับลังเหล็กใบใหญ่ 1 ใบ ไปไหนแกก็ลากไปด้วย ลูกๆ ก็พากันแปลกใจและถามว่าลังอะไร? คุณลุงตอบว่า เป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายที่ได้มาจากเหมืองทองคำของเพื่อน ถ้าใครดูแลพ่อจนถึงวาระสุดท้ายก็จะมอบสมบัติในลังเหล็กให้ทั้งหมด ปรากฎว่า ลูกๆ พากันตื่นเต้นต่างอาสามาดูแลคุณพ่อกันยกใหญ่
วันจันทร์ คุณลุงก็อยู่กับลูกสาวคนโต ลูกเขยกับหลานก็พากันเอาใจบีบนวดให้ หาของกินดีๆ มาให้ แต่ยังไม่ทันไรลูกชายคนที่สองก็มาตามให้ไปอยู่ด้วย และก็เช่นกันยังไม่ทันไร ลูกสาวคนที่สาม ก็มาตามให้ไปอยู่ด้วยอีก ปรากฎว่าลูกๆ ทั้ง 5 คน ของคุณลุงต่างแย่งกันเอาใจและปรนนิบัติคุณลุงท่านนี้อย่างดี แต่เวลาไปไหนคุณลุงก็จะลากลังเหล็กใบนี้ไปด้วยตลอด
เวลาผ่านไป 7 ปี คุณลุงท่านนี้เสียชีวิตลง หลังงานพิธีศพลูกๆ ทุกคนมานั่งล้อมลังเหล็กใบนี้เพื่อแบ่งสมบัติกัน ลูกสาวคนโตเป็นคนเปิดฝาลังเหล็ก พบว่ายังมีผ้าสีขาวปิดอยู่อีกชั้นหนึ่ง และมีจดหมายฉบับหนึ่งวางอยู่ ลูกสาวคนโตก็เปิดอ่านให้น้องๆ ฟัง เนื้อความในจดหมายเขียนไว้ว่า..
“ถึงลูกๆ ที่รักทุกๆ คนก่อนอื่นพ่อ ต้องขอบคุณก้อนหินทุกๆ ก้อนในลังเหล็กใบนี้ที่ได้เลี้ยงดูชีวิตพ่อจนถึงวาระสุดท้าย พ่อขอให้ลูกๆ แบ่งก้อนหินในลังเหล็กใบนี้ไปคนละเท่าๆ กัน เพื่อเป็นอนุสรณ์เตือนใจให้พวกเจ้าหมั่นเก็บออมเสียตั้งแต่วันนี้ เพื่อที่เวลาพวกเจ้าแก่ตัวลงจะได้ไม่มีชีวิตที่น่าสมเพชเยี่ยงพ่อ”
รักลูก
จากพ่อ
วันอาทิตย์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2553
เรื่องดีๆ บางตอนจากหนังสือฉลาด...ได้อีก!(ดร.วภัทร์ ภู่เจริญ)...
หนังสือดีๆ ผมมีมาแน่ะนำครับ..
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพระราชาองค์หนึ่งทรงยิงธนูเก่งมาก ถ้าวางแตงโมงไว้ในระยะ 100 เมตร ทรงยิงโดนได้เลย ทรงแม่นมาก แต่พระมเหสีก็ทรงบอกว่า "ไม่เห็นจะยากตรงไหน"พอพระมเหสีพูดจาแบบตรงๆ เท่านั้นแหละ พระราชาก็ทรงปรี๊ดเลย! ทรงตรัสสั่งให้เปลี่ยนเป้าเป็นลูกองุ่นเป็นเป้าหมาย
ที่เล็กมากกว่าเดิม ทรงให้วางในระยะเท่าเดิม แล้วก็ทรงยิงให้ดู ก็ยังทรงแม่นเหมือนเดิม และด้วยความภาคภูมิใจ ทรงหันมาถามพระมเหสีว่า "เป็นไง... ฝีมือฉัน เจ๋งไหม"
พระมเหสีก็ทรงบอกว่า... "โธ่เอ้ย ไม่เห็นยากเลยก็ทำทุกวัน... ฉันเห็นท่านยิงธนูอยู่ทุกวัน จะไม่โดนได้ยังไง"
พอพระราชาทรงได้ยินดังนั้นก็โกรธมาก ใช้ความคิดชุดเดิมมาตัดสิน จิตเกิดอาการไม่ผ่อนคลาย จี๊ดๆๆ ก็เลยทรง "เฉโก*" ด้วยการให้ขับไล่พระมเหสีออกจากเมืองหลวงไป ข้อหาคือดูถูกฝีมือ
5 ปีผ่านไปเหมือนโกหก ที่เมืองชายแดนก็มีข่าวลือมาจากชาวบ้านว่า มีหญิงคนหนึ่งหาบน้ำได้ทีละ 4 ตุ่มใหญ่ๆ แข็งแรงมาก ผู้ชายปกตินะแค่หาบข้างละตุ่มก็แทบแย่แล้ว แต่นี่ใช้ไม้คานหาบข้างละ 2 ตุ่มเลย
พอพระราชาทรงได้สดับข่าว ก็ทรงพาข้าราชบริพารออกไปดู พอเห็นปุ๊บ ก็อ๋อทันที นึกว่าใคร ที่แท้พระมเหสีที่เราไล่ออกจากเมืองนี้เอง ก็เลยทรงเข้าไปถามว่า "เจ้าทำได้ยังไง เก่งจังเลยนะ"
พระมเหสีก็ตอบว่า.. "ไม่เห็นยากเลย ก็ทำทุกวันสิ"
เฉโก* คือความคิดที่เป็นอัตตาตัวตน เป็นความคิดที่ไม่จริง ถูกปรุงแต่งผิดเพี้ยนไป