วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

Reborn Baby


Reborn Baby เทรนด์ใหม่ ตุ๊กตาหน้าคล้ายทารก น่ารักน่าเอ็นดู
ผ่านไปแล้วกับกระแสความดังของตุ๊กตาบลายธ์ที่เหล่านักสะสมผู้หญิงและผู้ชายก็ต้องหามาสะสม แต่วันนี้ที่จะพูดถึงนั้น ไม่ใช่ตุ๊กตาบลายธ์อีกต่อไป เราจะมาทำความรู้จักกับตุ๊กตารุ่นใหม่ที่ศิลปินชาวต่างชาติสร้างสรรค์ขึ้นมาโดยผสมผสานไปกับศิลปะที่ซับซ้อน นั่นก็คือ ตุ๊กตา Reborn-baby (รีบอร์น เบบี้ความพิเศษของเล่นชนิดนี้คือ ถ้าใครเป็นคนรักเด็กคุณจะตะลึงกับความเหมือนของตุ๊กตาชนิดนี้ และยิ่งถ้าใครเป็นคนรักตุ๊กตาคุณจะได้สัมผัสกับตุ๊กตาที่ใครบางคนอาจคิดว่าเป็นมากกว่าตุ๊กตาเสียอีก ซึ่งรีบอร์นเบบี้เป็นตุ๊กตาที่มีความคล้ายคลึงกับเด็กทารกแรกเกิดวัย 1 เดือน ถึงประมาณ 3 ปี แถมยังมีกลิ่นเด็กที่เหมือนจริงด้วย ในต่างประเทศ ผู้คนฮิตการสะสมหรือเล่นตุ๊กตารีบอร์นเบบี้มากพอๆ กับคนในบ้านเราฮิตซื้อตุ๊กตาบลายธ์มาสะสมกัน อย่างกับโอทอปบ้านเขา ตุ๊กตารีบอร์นเบบี้เป็นส่วนหนึ่งที่มีผลต่อจิตใจของคน เพราะเวลาจับตุ๊กตาทั่วไปนั้น คนส่วนใหญ่จะจับแขน จับขา แต่รีบอร์นเบบี้นี้คนจะอุ้มและจับเหมือนเด็กทารกคนหนึ่ง ศิลปินเหล่านี้มีจากหลายประเทศทั่วโลก เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา อังกฤษ ออสเตรเลีย เป็นต้น ศิลปินบางคนอาจมีประสบการณ์ในการทำตุ๊กตานี้มามากกว่า 20 ปีเสียอีก แต่จะยกตัวอย่างศิลปินทั่วไปที่ทำผลงานศิลปะนี้ขึ้นมา เช่น จูดี้ เจ้าของผลงาน Judy\'s Cuties Reborn Baby Dolls ซึ่งเธอได้สร้างสรรค์ผลงานตุ๊กตารีบอร์นเบบี้ มาได้ประมาณ 19 ปีแล้ว เธอรักที่จะทำตุ๊กตาเหมือนจริงเหล่านี้ โดยมีโครงหน้าแบบเบอร์เรนเกอร์, แอสช์ตัน เดรคดอล, มิดเดิลตัน, ลินด์ สเชอร์เลอร์ และเอลลี่ นอปส์ และเธอได้นำแต่วัสดุที่มีคุณภาพดีมาใช้ เช่น ขนจากลูกแกะเพื่อมาทำผม แก้วบางๆ อย่างดีเพื่อมาทำลูกตา ที่มาของตุ๊กตารีบอร์นเบบี้นั้น ผลิตขึ้นครั้งแรกในปี 1990 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา และมีวางจำหน่ายในเว็บไซต์อีเบย์ราวๆ ปี 2002 ระยะแรกที่มีตุ๊กตาประเภทนี้ออกมานั้น โด่งดังแค่เพียงในวงการนักสะสมตุ๊กตาเท่านั้น อันที่จริงแล้ว ตุ๊กตาเหล่านี้ค่อยๆ พัฒนาขึ้นจากการที่เป็นตุ๊กตาฝึกอุ้มในโรงพยาบาลต่างๆ เพื่อทำให้คุณแม่ทั้งหลายได้ฝึกการอุ้มลูกได้อย่างถูกต้องจนมาเป็นรีบอร์นเบบี้อย่างที่เราเห็นกัน วิธีทำของตุ๊กตารีบอร์นเบบี้นั้น ต้องผ่านขั้นตอนที่ประหนึ่งการโคลนนิ่งหลายอย่างกว่าจะสำเร็จเสร็จสิ้นมาเป็นตัวที่เหมือนเด็กทารกได้ขนาดนี้ อาทิ การหล่อโครงหน้า ในแต่ละรุ่นจะมีทั้งคนหล่อโครงหน้า และมีทั้งศิลปินที่นำโครงหน้าเหล่านี้ไปทำเป็นเด็กที่จะมีความหลากหลาย อาจจะแตกต่างกันที่ ผม ตา และสีผิว ส่วนวัสดุที่ใช้ทำแขน ขา และหัวนั้น จะมีหลายประเภท เช่น เมื่อก่อนอาจจะใช้แต่เรซินอย่างเดียวทำให้ไม่นิ่ม ปัจจุบันเปลี่ยนมาใช้ไวนิลเรซินจะนิ่มขึ้นแต่ไม่มาก และมีบางตัวที่เริ่มใช้ซิลิโคนเรซินแล้ว แต่จำทำยากและมีน้อยที่ผลิตออกมา ซึ่งซิลิโคนไวนิลนั้น การสัมผัสผิวจะมีเนื้อละเอียดมาก จะมีขั้นตอนที่ทาสีซึ่งสามารถเลือกเพศ เลือกสีผิว สีตา สีผม ซึ่งผมของรีบอร์นเบบี้นั้นทำจากโมแฮร์ หรือ ขนจากลูกแกะที่ผลัดขน และต้องใช้กาวกันน้ำติดที่หัว หลังจากที่ทำสีผิวก็ต้องนำไปอบให้สีติดอยู่บนผิวทนทานมากขึ้น อีกอย่าง ผู้สนใจยังสามารถสั่งได้ตามความต้องการของคุณอีกด้วยว่า อยากให้หายใจได้ อยากได้ยินเสียงหัวใจเต้น อยากให้ร้องไห้ได้ แม้กระทั่งอยากให้ดิ้นได้ การทำความสะอาด ตุ๊กตารีบอร์นเบบี้นั้นไม่สามารถอาบน้ำได้ จะทำได้ก็เพียงแค่ นำน้ำมาผสมเจลอาบน้ำเด็ก 2-3 หยด แล้วจึงเอาหวีซี่ห่างๆ จุ่มแล้วหวี ส่วนร่างกายของตุ๊กตานั้นขึ้นอยู่กับอากาศ แต่ควรให้อยู่ในอุณหภูมิเดียวกับเด็กทารกทั่วไปที่เราเลี้ยงกัน ปัจจุบันมีตุ๊กตารีบอร์นเบบี้ที่เหมือนจริงเกิดขึ้นและสามารถจำลองการทำงานของร่างกายได้บางส่วนแล้ว ซึ่งศิลปะชนิดนี้ดูไม่ได้ต่างอะไรกับวิทยาศาตร์ที่เป็นคนละขั้วเลยจริงๆ แต่สำหรับนักสะสมอาจมองว่า นี่คือศิลปะของเหล่าศิลปินที่สรรสร้างออกมาด้วยความชำนาญและความปราณีตส่วนตัว เริ่มไม่แน่ใจแล้วสิว่า ความเหมือนจริงของตุ๊กตารีบอร์นเบบี้นี้จะน่ารัก น่าเอ็นดูจริงหรือไม่ เพราะมันเหมือนจริงจนน่าใจหายว่า เทคโนโลยีที่ผสมกับศิลปะอีกแขนงหนึ่งในโลกเรานี้จะทำให้ตุ๊กตากลายเป็นคนเข้าไปทุกทีหรือว่าโลกเรานั้นกำลังจะเข้าใกล้คำว่า โคลนนิ่ง เพราะศิลปะและศิลปินเหล่านี้กันแน่ ....

เขียนโดย
สาวโสด ขี้เมา

ความเหงา...

-เคยไหม ที่อยากจะมีใครสักคนเดินเคียงข้าง
-เคยไหม ที่อยากจะมีใครสักคนนั่งก๋วยเตี๋ยวข้างๆๆแล้วแอบแย่งลูกชิ้นเราไป
-เคยไหม ที่อยากจะมีใครสักคนที่โทรมาแล้วบอกว่า ฝันดีนะ ก่อนนอน
-เคยไหม ที่เวลาอยากคุยกับใคร แล้วไม่นานเขาคนนั้นก็โทรหา
-เคยไหม ที่อยากมีใครสักคนโทรมาถามว่ากินข้าวหรือยัง แล้วลงท้ายว่าคิดถึง
-เคยไหม ที่อยากมีใครสักคนมาลูบหัวเบาๆๆ ทำเหมือนเราเป็นเด็ก
-เคยไหม ที่อยากมีใครสักคนที่ไม่ต้องพูดอะไร แค่มองตาก็รู้ว่าเราต้องการอะไร
-เคนไหม ที่อยากมีใครสักคนที่พร้อมจะมาพบเจอเราเสมอไม่ว่าเวลาไหน
-เคยไหม ที่อยากมีใครสักคนที่ไว้ให้คิดถึง-เคยไหม ที่มองคนที่เขามีแฟนแล้วอยากมีบ้าง
-และสุดท้าย เคยไหม ที่อยากจะมีคนรักสักคน ไว้ให้คิดถึง
---------------------------------------
ตัวฉัน.....
..ฉันไม่เคยมีคนรักเดินเคียงข้าง
..เวลากินก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นเหลือก็ให้หมา
..เวลาจะนอนก็ปิดเครื่องโทรศัพท์เพราะรู้อยุ่แล้วว่าไม่มีใครโทรมา
..เวลาอยากคุยกับใครสักคน กดโทรศัพท์ตั้งแต่คนแรกจนคนสุดท้าย แต่แล้วก็ไม่รู้จะโทรหาใคร
..เวลากินข้าวก็นั่งกินคนเดียวไม่มีใครที่จะโทรมาถามว่ากินข้าวหรือยัง หรือว่าคิดถึงนะ
..เห็นคนที่เขามีแฟนแล้วก็อยากจะมีแฟนกับเขาบ้าง
..นี่ล่ะเหงา นี่คือเหงา....
นี้คือความจริงที่ฉันต้องเจอ..ชีวิตคนโสดที่....เหงาไปวันๆๆๆ


เขียนโดย
สาวโสด ขี้เมา

คนที่รัก.............คนมีเจ้าของ


เคยมั๊ย . . . ? รักคนที่มีแฟนแล้ว
หรือ . . . รักคน พร้อมกัน 2 คน
ถ้า ณ วันหนึ่ง เรารักคนที่มีแฟนแล้ว . . .
ก็คงหวังเล็ก ๆ ให้เขาเปลี่ยนใจ . . . มารักเราบ้าง
ถึงจะรู้สึกผิด . . . ที่คิดแย่งเขามา
แต่ก็อยากจะเป็นตัวเลือก . . .
ไม่ผิด . . . หากเราจะรักใครสักคน
ไม่มีใครสามารถห้ามใจใครได้
แต่จงทำใจ . . . และเผื่อความเสียใจไว้ด้วย
หากกล้าที่จะรัก (ทั้งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้)
ก็อย่ากลัวที่จะเสียใจ . . .
ถ้าเขาเลือก ก็ยินดีด้วย . . .
แต่ ถ้าเขาไม่เลือก . . . อย่าโทษว่าเราไม่ดี หรือใครผิด
ถ้าผิดคงผิดที่เวลา . . . ที่ทำให้เราเจอกันช้าไป
คนดีไม่จำเป็น . . . ต้องสมหวังในความรักเสมอไป
ไม่มีใครที่ดีบริสุทธิ์ . . . หรือเลวบริสุทธิ์
ถ้า ณ วันหนึ่ง . . . เรารักคน 2 คน
และถึงเวลาที่เราต้องเลือก . . .จงปล่อยไปตามหัวใจ
แล้วเลือกในสิ่งที่เราต้องการ . . .
เลือกคนที่ได้ใจเราไป . . . ให้ตัวมันตามไปอยู่ด้วย
เพราะเมื่อใดที่หัวใจ กับตัวมันแยกกันอยู่ . . .
ตัวมันจะอยู่อย่างซังกะตาย
. . . เพราะมันไม่มีชีวิตจิตใจ
เรื่องความรักไม่มีใครถูก ไม่มีใครผิด
. . . ระหว่างคน 3 คน ต้องมีคนหนึ่งที่เสียใจเสมอ
แต่เสียใจแค่หนึ่งคน ดีกว่าเสียใจทั้ง 3 คน
. . . ไม่มีคำว่าสงสาร
ถ้าจะสงสาร . . . ควรสงสารตัวเองก่อน
ถามตัวเองซิว่า . . . คบด้วยความสงสาร
แล้วเรามีความสุขมั๊ย?
ไม่มีคำว่ายุติธรรม . . .
คนมาก่อนไม่จำเป็น . . . ต้องได้ครอบครอง
คนมาทีหลังไม่จำเป็น . . . ต้องเสียสละ
ชีวิตเป็นของเรา . . . จงเลือกเองแล้วจะได้ไม่โทษใคร
เรามีสิทธิ์ที่จะเลือก (ตราบเท่าที่เรายังไม่มีครอบครัว)
อย่ารักใครทั้งหมด . . .
เหลือความรักให้ตัวเองบ้าง . . . แม้สัก 1% ก็ยังดี
เผื่อใจไว้บ้าง ในวันที่ต้องเสียใจ
หากกล้าที่จะรัก . . . อย่ากลัวกับคำว่าเสียใจ
ไม่มีความแน่นอนในใจคน
ความรักไม่มีใครถูก ไม่มีใครผิดไ
ม่มีความถูกต้อง หรือ ไม่ถูกต้อง
ไม่จำเป็นต้องมีความยุติธรรม
ไม่จำเป็นว่าใครมาก่อนมาหลัง
เราไม่สามารถบังคับใจใคร ให้รัก หรือ ไม่รักเราได้
และ ใคร ก็ไม่สามารถบังคับใจเราได้เช่นกัน
"คนรัก" ไม่ใช่สิ่งของ
เขามีขา และเราไม่สามารถผูกมัดเขาไว้ได้ด้วยเชือก
แต่มัดไว้ได้ด้วยใจ อย่าล้อเล่นกับ ความรัก...
มิฉะนั้น ความรักจะล้อเล่นกับเรา เหมือนกัน


สาวโสด ขี้เมา

คนฉลาดที่สุดในโลก 2 .... โดยครูป้อม

...Kim Ung-Yong 
เข้ามหาวิทยาลัยเมื่ออายุ 4 ขวบ จบปริญญาเอกตอนอายุ 15 และมี IQ สูงที่สุดในโลก(มีคนทำลาสถิติแล้วครับคิม).. Kim Ung-Yong เกิดในปี 1962 และอาจจะถือได้ว่าเป็นมนุษย์ที่ฉลาดที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่ โดย Guinness Book of World Records ได้บันทึกว่าเขามี IQ สูงที่สุดในโลกคือสูงกว่า 210


คิมอ่านภาษาญี่ปุ่น เกาหลี เยอรมัน และอังกฤษ ได้ตั้งแต่ 4 ขวบ ตอนวันเกิดครบ 5 ขวบ เขาก็สามารถแก้โจทย์แคลคิวลัส (differential and integral calculus) ที่ซับซ้อนได้ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้ไปออกรายการทีวีญี่ปุ่นแสดงสามารถทางภาษาจีน สเปน เวียดนาม ตากาลอก เยอรมัน อังกฤษ ญี่ปุ่น และเกาหลี

คิม เป็นนักเรียนรับเชิญในชั้นเรียนวิชาฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัย Hanyang ตั้งแต่อายุ 3 - 6 ขวบ พออายุ 7 ขวบ NASA ได้เชิญเขาไปอเมริกาและเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย Colorado ในปี 1974 จนได้ Ph.D ด้านฟิสิกส์ ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะมีอายุครบ 15 เสียอีก ระหว่างที่เรียนมหาวิทยาลัยเขาก็เริ่มทำงานวิจัยที่ NASA ด้วย และทำต่อมาตลอดจนกระทั่งเขากลับเกาหลีในปี 1978 และได้ตัดสินใจเปลี่ยนสาขาจากฟิสิกส์ไปเป็นวิศวกรรมโยธาและได้ศึกษาจนได้รับ ปริญญาเอกอีกเช่นกัน

  ปล. “มาริลิน วอส ซาวองท์” (Marilyn vos Savant ) ได้ทำลายสถติ IQ ของคิม เรียบร้อยแล้วนะครับ เธอมี IQ สูงสุดถึง 228 เลยทีเดียว ครูป้อมคิดว่าถ้ามีคนเก่งๆ IQ เกินมนุษย์บนโลกเยอะๆ ก็ยังนึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะส่งผลด้านบวกหรือด้านลบมากกว่ากันนะครับ แต่ที่สำคัญของให้คนเก่งๆ เหล่านี้ถ้าเขาเป็นคนดี เสียสละต่อสังคม คงเป็นประโยชน์แก่โลกมนุษย์ที่บิดๆเบี้ยวๆ ใบนี้ได้ไม่น้อยครับ!!!
 



ขอขอบคุณ โลกมนุษย์
ครูป้อม คนล่าฝัน

คนฉลาดที่สุดในโลก 1 .... โดยครูป้อม

...มนุษย์ IQ มากกว่า 200 มีจริงหรือเปล่าครับ??  ครูป้อมเคยฟังจาก ศ.ดร.เรือง ครับว่า ณ ปัจจุบันนี้มี 5 คนจริงหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ..
... เลยทำให้"ครูป้อม"อยากศึกษาเรื่องนี้ครับ ..

...เคยสงสัยไหม? ผู้หญิงกับผู้ชายใครฉลาดกว่ากัน? ไม่รู้ซิครับ!! แต่ที่แน่ๆ คนที่ฉลาดที่สุดบนโลกกลมๆใบนี้เป็น...ผู้หญิง ครับมารู้จักกับคนที่ “ฉลาดที่สุดในโลก” ตั้งแต่มีการบันทึกมา กันดีกว่า “เธอคือผู้ที่มีไอคิว”สูงสุดในโลก ถึง 228” ตามที่ได้บันทึกไว้ในกินเนสบุ๊ก” และ "เธอคือนางมารร้าย สำหรับนักคณิตศาสตร์ทุกผู้ทุกนาม"
.
.
.
.
เธอชื่อ “มาริลิน วอส ซาวองท์” (Marilyn vos Savant )
.
“vos Savant's Stanford-Binet ratio IQ of 228 corresponds to a deviation IQ of 188, and her Mega Test deviation IQ of 186 corresponds to a ratio IQ of 224”
ไม่ต้องพูดกันถึงเรื่องพวก คิดเลขคูณเลข ในใจ 256 คูณ 3 หาร 12=?
หรือประเภทเลขยกกำลัง ถอดรู๊ท... ในใจ อะไรง่ายๆพวกนั้น เด็ก ป.4-ป.6  เด็กอัจฉริยธรรมดาๆ ก็ทำได้แล้วครับ ขึ้นชื่อว่าระดับ IQ 228 ต้องไม่ธรรมดา ไม่ธรรมดาจนเธอได้รับสมยานามว่า...
"the smartest person in the world."
แต่ ชื่อเสียง มาริลิน ในวงการคณิตศาตร์ของเธอไม่ดีเอาเลย เป็นไม้เบื่อไม้เมา..กับนักคณิตศาสตร์เสมอมา เธอคอยตั้งข้อสังเกตุ บทพิสูจน์ ทฤษฎีต่างๆ รวมทั้งทฤษฎีบทสุดท้ายของแฟร์แมต์ และ ทฤษฎีสัมพันธภาพของไอน์สไตน์.. จะด้วยความอิจฉาที่ คอลัมน์ "Ark Marilyn" ของเธอ มีผู้อ่านเป็นล้านทุกสัปดาห์  หนังสือที่เธอเขียนและการถูกเชิญไปบรรยายตามที่ต่างๆ ของเธอ สามารถทำให้เธอใช้ชีวิตอย่างหรูหราสุขสบาย ในขณะที่นักคณิตศาสตร์หลายคนไม่ได้เงินแม้แต่สตางค์แดงเดียวจากหนังสือพวกเค้าและเรื่องๆหนึ่งที่เธอทุบวงการคณิตศาสตร์ และโด่งดังมากที่สุด โด่งดังจนได้รับการกล่าวขานมาจนถึงทุกวันนี้ก็คือ....
“3 Doors” หรือ “Goat”
ในคอลัมน์ "Ark Marilyn" เมื่อวันที่ 9 กันยายน 1990 เธอได้ตอบจดหมายผู้อ่านคนหนึ่งที่ถามว่า...ในเกมส์โชว์ “Let Make a Deal” ที่ผู้เล่นจะมีประตูสามประตูให้เลือก ข้างหลังประตูหนึ่งมี”รถยนต์”หนึ่งคัน ขณะที่อีกสองประตูที่เหลือมี”แพะ” สมมุติว่าผู้เล่นเลือกประตูหนึ่ง และพิธีกรผู้รู้ว่ารถอยู่หลังประตูไหน?ได้เปิดอีกประตูที่มีแพะ....จากนั้นให้เลือกว่าคุณยืนยันจะเลือกประตูแรก หรือต้องการเลี่ยนอีกประตู? เราควรเลือกอะไรดี?  นี่คือปัญหาที่เรียกว่า มอนตี้ ฮอลล์ ที่แขกของรายการโทรทัศน์ยอดนิยม “Let Make a Deal”  จะต้องถูกถามทุกครั้ง!! "มิริลิน" แนะนำให้ผู้อ่านของเธอเปลี่ยนประตู!!!! การยืนยันจะเลือกประตูแรกจะทำให้ผู่เล่นมีโอกาส “หนึ่ง ใน สาม” เท่านั้นที่จะชนะ แต่ถ้าเปลี่ยน โอกาสจะเพิ่มขึ้นเป็น “สอง ใน สาม”!!! (โอกาสชนะถึง 66.66%) เพื่ออธิบายให้ผู้อ่านมั่นใจยิ่งขึ้น เธอบอกให้พวกเค้าจินตนาการว่ามีประตูหนึ่งล้านประตู และ”คุณเลือกประตูที่หนึ่ง” เธอกล่าว แน่นอนแน่นอนพิธีกรซึ่งรู้ว่ามีอะไรอยู่หลังประตู จะต้องเลี่ยงที่จะไม่เปิดรางวัลใหญ่ และถ้าคุณเห็นพิธีกรเปิดทุกประตู (แล้วมีแพะ) ยกเว้นประตูที่ 777,777  คุณจะรีบเปลี่ยนประตูทันทีจริงไหม!! ทันทีที่คำตอบของเธอปรากฎในนิตยสาร จดหมายจากแฟนๆ รวมถึงเหล่านักคณิตศาสตร์ ได้ทะลักเข้ามาหาเธอ พวกเขา และใครๆก็ โจมตีว่าเธอผิด!!!! ผู้เล่นที่เปลี่ยนประตูโอกาสชนะ ยังเป็นแค่ ห้าสิบ-ห้าสิบ อยู่  อย่างเช่น..
“ในฐานะนักคณิตศาสตร์ ผมรู้สึกกังวลต่อความอ่อน หัดทางคณิตศาสตร์ของคนสมัยนี้มาก และผมอยากให้คุณ กรุณาช่วย(แก้ปัญหานี้) ด้วยการยอมรับผิด”
จาก : ดร.โรเบิร์ต แชคส์, มหาวิทยาลัยจอร์จ เมสัน
หรือ...
“คุณพลาดไปแล้ว พลาดอย่างมหันต์! ผมจะอธิบาย ให้ฟังว่าไม่ว่า หลังจากที่พิธีกร เปิดแพะออกมาตัวหนึ่งเราจะมีโอกาส 50:50 ไม่ว่าคุณจะเปลี่ยนประตูหรือไม่ โอกาสยังเท่าเดิม!!  ประเทศเรามีสถิติคนไม่รู้คณิตศาสตร์มากพอแล้ว ขออย่าให้มีคนไอคิวสูงมาเพิ่มสถิติอีกเลย น่าอายจริงๆ”
จาก : ดร.สก๊อตต์ สมิท มหาวิทยาลัยฟอริด้า
จดหมายทำนองนี้อีกมากมายก่ายกอง แถมเธอยังถูกสำนักงานสถิติแห่งชาติ และศุนย์ข้อมูลเพื่อความปลอดภัยของประเทศ “บริภาษ” จดหมายบางฉบับว่าเธอแรงๆอย่างเช่น “หล่อนนี้แหละ นางแพะโง่ตัวจริง ”
หรือ
“ถ้าคุณยอมรับข้อผิดพลาดของคุณ เท่ากับคุณมีส่วนแก้ไขสถานการณ์นี้ จะต้องมีนักคณิตศาสตร์ขี้หงุดหงิดอีกกี่คน ถึงจะทำให้คุณยอมรับความผิดพลาดได้” ดังเป็นพลุ เลยครับ ได้ที ”ขี่แพะไล่” จริงๆ บรรดา นักคณิตศาสตร์ชั้นหัวกระทิและผู้รู้ทั้งหลาย ไล่ถล่มเธอแบบไม่เลี้ยงเลย ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต เพราะตามแนวคิด ตามหลักคณิตศาสตร์ ตามหลักสถิติแล้ว เหลืออีก 2 ประตู "โอกาสชนะก็ต้อง 50:50" จริงไหมครับ เช่นเดียวกับ "การโยนเหรียญ" โอกาสออกหัว ออกก้อยแต่ละครั้งก็ 50:50
“มิริลิน” นิ่ง...และโต้กลับในคอลัมน์ของเธอว่า
“เมื่อความจริงกับสันชาตญานประทะกันอย่างแรง ทุกคนต่างรู้สึกถึงแรงสะเทือน”
ครานี้เธอพยามอธิบายใหม่ บอกว่า...สมมุติว่าพอพิธีกรเปิดประตูที่มีแพะออกมา ยานลำหนึ่งก็ลงมาจอดบนเวที และมนุษย์ต่างดาวตัวเขียวตัวหนึ่งก็ออกมา..พิธีกรขอให้มนุษย์ต่างดาวเลือกเปิด ประตูหนึ่งในสองประตู โดยที่มันไม่รู้มาก่อนว่า ผู้เล่นคนเดิมได้เลือกประตูใด ประตูหนึ่งไว้แล้ว..โอกาสที่มนุษย์ต่างดาวจะได้รถเป็น ห้าสิบ-ห้าสิบ แต่นั่นเป็นเพราะว่า มนุษย์ต่างดาวมันไม่มีข้อได้เปรียบอย่างที่ผู้เล่นคนเดิมได้ นั่นคือ..การช่วยเหลือจากพิธีกร...!! ความจริงก็คือ... "ถ้ารถอยู่หลังประตู 2 พิธีกรจะเลือกเปิดประตู 3 และ ถ้ารถอยู่หลังประตู 3 พิธีกรจะเลือกเปิดประตู 2 เพราะฉะนั้นถ้าคุณขอเปลี่ยนคุณจึงชนะ ไม่ว่ารถนั้นอยู่หลังประตู 2 หรือ 3 คุณจะชนะทั้ง 2 ประตู!!  แต่ถ้าคุณไม่เปลี่ยน คุณจะชนะถ้ารถอยู่หลังประตูที่ 1 เท่านั้น”
มาริลีน ถูกต้องแล้ว!!!!!
นักคณิตศาสตร์ ทั้งหลาย...ต้องหน้าแตกและก้มหน้ายอมรับ! เท่านั้นยังไม่พอ
ยังมีผู้ทดลองทำการ random ด้วยคอมพิวเตอร์ กว่า 10,000 ครั้ง
ผลออกมา...
ถูกต้อง แล้วคร๊าบ!!!!
“สองในสาม” ตรงตาม ที่"มาริลิน"ทำนายไว้แป๊ะ...!!!!!


ขอขอบคุณ นำชัย
ครูป้อม คนล่าฝัน

คำคม ...M. Songkha ... โดยครูป้อม

“The success is not in the learning, but in
its application to the benefit of mankind.”
.
M. Songkha
.

"ความสำเร็จไม่ได้อยู่ที่การได้เรียนรู้ แต่อยู่ที่การประยุกต์ใช้ความรู้นั้นให้เกิดประโยชน์แก่มนุษยชาติ"

ม. (มหิดล) สงขลา (กรมหลวงสงขลานครินทร์) หรือ
สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก



ขอขอบคุณ "กรมหลวงสงขลานครินทร์"
ครูป้อม คนล่าฝัน

นิยามรักดี ๆ ...

นิยามรัก..........
ความรักต้องมาจากความรู้สึกของคนสองคน..
อย่าให้ใครคนใดคนหนึ่งหยิบยื่น..แต่อีกคนหนึ่งไม่ต้องการ ความรักเป็นเพียงสายใยบาง ๆ ที่มันถูกหล่อหลอมขึ้นจากความรู้สึกต่าง ๆ ทั้งความอาทร ห่วงใย ห่วงหา คิดถึงความอดทนจะทำให้อุปสรรคต่าง ๆ ผ่านพ้นไปได้ด้วยดีความพยายามจะทำให้เราสองคนยังคงอยู่ ความไว้ใจจะทำให้ความรักของเราแข็งแกร่ง ความซื่อสัตย์จะทำให้ความรักของเรามั่นคง ความเสมอต้นเสมอปลายจะทำให้ความรักของเราสวยงาม และสุดท้ายความรักก็จะก่อตัวขึ้นเป็นความผูกพัน สิ่งเหล่านี้จะทำให้สายใยบาง ๆ ของความรัก กลายเป็นเชือกเส้นหนาที่ผูกคนสองคนไว้ด้วยกัน มันจะเป็นเชือกที่มัดเราไว้ด้วยกัน เป็นเชือกที่ทำให้เราไม่อึดอัด เราจะไม่ดิ้นรนที่จะพยายามหลุดออกจากเชือกเส้นนี้

สิ่งต่อมา..............


เมื่อได้เจอความรักที่ดีแล้ว จงทำให้เขารู้สึกว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียว อย่าปล่อยให้เขาโดดเดี่ยว อย่าปล่อยให้เขาเดียวดาย คิดถึงสิ่งดี ๆ ที่เราเคยมีกัน อย่าลืมวันแรก ๆ ที่เรารู้สึกกับคน ๆ นี้ เขาเป็นคนดีที่สุดแล้วสำหรับเรา พยายามรักษาเขาไว้ เพราะเมื่อเขาหลุดลอยไปแล้ว เราจะไม่สามารถเรียกความรู้สึกต่าง ๆ กลับมาได้อีก เหมือนเวลาที่ไม่สามารถย้อนเดินกลับ ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เพราะอดีแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว อย่าทิ้งหัวใจของคุณไว้กับอดีต อย่าคิดว่าอดีตไม่มีวันหวนคืน อย่าคิว่าไม่มีพรุ่งนี้ อย่าลืมบทเรียนของเมื่อวาน ทุกชีวิตยังมีความหวังอยู่เสมอ "จงปล่อยให้ชีวิตดำเนินต่อไป"..


บทความโดย
...ครูฝน..

สมองของมนุษย์ ...

...สมองคนเรา (ชื่อสปีชีส์คือ Homo sapiens) นี่เป็นตัวดูดพลังงานที่สุดยอดมากคือ แม้ว่ามันจะหนักราว 2% ของร่างกายเท่านั้น (จุราว 1,345 cc. โดยเฉลี่ยผู้ใหญ่) แต่กลับใช้พลังงานของร่างกายมากถึง 20% เลยทีเดียว..
.

...สายพันธุ์ญาติๆ ของเราในอดีต นอกจากมนุษย์ ”นีแอนเดอทัล” ที่มีความจุสมองมากกว่าเรานิดหน่อยแล้ว ล้วนแล้วแต่โดนเราทิ้งห่างไม่เห็นฝุ่นเลยครับ ..

Homo habilis – 630 cc.
Homo ergaster – 875 cc.
Homo erectus – 1,000 cc.
Homo heidelbergensis – 1,200 cc.
Homo neanderthalensis – 1,465 cc.
Homo sapiens – 1,345 cc.

...ผมเลยอดคิดเล่นๆ ไม่ได้ว่า โครงสร้างร่างกายแบบนี้นี่เองที่อาจทำให้มนุษย์ต้องก้าวร้าว กระหายสงคราม เพราะต้องการครอบครองทรัพยากรให้มากพอจะ “รักษาสภาพ (maintain)” สมองที่เป็นจอมเขมือบพลังงานนั่นเอง (สงสัยเฉยๆ นะครับ ... ยังไม่มีข้อพิสูจน์เลยครับ) ..

ความสุข..

**ความสุขของคนเราอยู่ที่ใด**
...หลายคนก็หลายความคิด..แตกต่ากันออกไป..
การคิดในเชิงสร้างสรรค์แบบนี้ทำให้จิตใจของเราโปร่งสบาย ไม่รุ่มร้อน เพราะเรารู้สึกว่าเราไม่ได้แข่งกับใครแต่เราแข่งกับตัวของเราเองอยู่ตลอดเวลาและเราไม่ได้ไปสร้างศัตรูหรือไปก่อเวรกับคนอื่น ตรงกันข้ามการแข่งขันระหว่างกันเป็นไปในทางเกื้อกูลกันทำให้ระบบโดยรวมมีการเติบโตอยู่ตลอดเวลาไปในทางที่เป็นบวก คงไม่สำคัญว่าคุณต้องชนะคนทั้งหมด สิ่งสำคัญคงอยู่ที่คุณพยายามชนะตัวของคุณเองอยู่ตลอดเวลาต่างหาก เพียงแต่เมื่อใดคุณสามารถชนะตัวของคุณเองได้ ชัยชนะที่ได้ก็จะมีความหมายและทำให้คุณเกิดความภูมิใจ และถ้าคุณยังไม่หยุดพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง คุณก็จะชนะตัวคุณไปเรื่อยๆ เมื่อคุณมองย้อนกลับมาเมื่อไหร่คุณก็จะมีแต่ความภูมิใจในชัยชนะที่ขาวสะอาด ชัยชนะที่เป็นแรงขับดันให้คุณพยายามพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ  การประสพความสำเร็จในชีวิตของแต่ละคนมีอยู่หลายวิธี บางครั้งผู้คนต่างพยายามเลียนแบบเส้นทางประสพความสำเร็จของผู้อื่น แต่เมื่อเดินตามเส้นทางนั้นกลับพบว่าไม่ประสพความสำเร็จนัก ความสำเร็จในชีวิตของผู้คนคงไม่จำเป็นต้องมีรูปแบบอย่างเดียวกันเสมอไป และเส้นทางไปสู่ความสำเร็จก็ไม่จำเป็นต้องเป็นเส้นทางเดียวกันเสมอไป สิ่งสำคัญน่าจะอยู่ที่ความสุขใจที่ได้เลือกเส้นทางที่เหมาะกับตนเองมากที่สุดมากกว่า
...จงอย่าพยายามเลียนแบบเส้นทางไปสู่ความสุขของผู้อื่น เพราะนิยามความสุขของผู้คนต่างกัน ความสุขที่เราเห็นผู้คนอื่นมีความสุขกันอยู่ ถ้าเราไปอยู่ในสถานะนั้นเราอาจจะไม่มีความสุขอย่างที่เราเข้าใจก็ได้ สุขและทุกข์แท้จริงอยู่ที่ใจของเรากำหนดต่างหาก ลองมองทุกอย่าง อย่างเป็นกลางๆ ไม่เอาความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง อคติ มาครอบงำ แล้ววันหนึ่งเราอาจจะค้นพบความหมายของคำว่า "ความสุขที่แท้จริงของตัวเราเอง"

บทความโดย
...ครูฝน..

วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ความดี...


ความดี..ย่อมเกิดจากการกระทำ
คนทำความดี..ย่อมได้รับการสรรเสริญ
ผลของความดี..ย่อมทำให้เกิดความสงบสุขในสังคม
.
.

.
แต่..ผลของความดี กว่าจะคลอด
ต้องอดทน..และเจ็บปวด
.
.
บทความโดย
วิศรุต อ่อนนวล (เก่ง ป.5)

วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

17 ภูมิประเทศแปลกๆ ที่ไม่คิดว่าจะมีในโลก (ต่อเลยแห่งที่10 - 17 ) ... โดยครูป้อม

... ผู้อ่านมาดูกันนะครับ ว่าโลกมนุษย์เรายังมีสถานที่ ที่บางคนดูแล้วอาจจะคิดว่าน่ากลัว บางคนมองดูแล้วอาจจะคิดว่าคือสวรรค์ในอีกมุ่มหนึ่งก็ได้ครับ ครูป้อมให้ดู 10 ถึง 17 ต่อเลยนะครับ ..

10. ทะเลทรายแบล็ค ร็อค (Black Rock Desert) ที่รัฐเนวาดา สหรัฐอเมริกา
ทะเลทรายแบล็คร็อค คือ ก้นทะเลสาปที่แห้งสนิท ครั้งหนึ่งดินแดนแถบนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของทะเลสาปในยุคก่อนประวัติศาสตร์ ที่มีชื่อว่า "Lahontan" ซึ่งปรากฏอยู่ในสมัย 18,000-7,000 พันปีก่อนคริสตกาล ในช่วงที่ทะเลสาปโบราณแห่งนี้มีระดับน้ำสูงสุด (เมื่อประมาณ 12,700 ปีก่อน) ทะเลทรายแบล็คร็อคเคยอยู่ใต้น้ำที่มีความลึกถึง 150 เมตรเลยทีเดียว

11.ถ้ำคริสตัล (Crystal Cave) ในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา

ถ้ำคริสตัล เป็น 1 ใน 240 ถ้ำ (ที่ถูกค้นพบ) ภายในอุทยานแห่งชาติ Sequoia ในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ถ้ำดังกล่าวเป็นถ้ำ "หินอ่อน" ธรรมชาติ ที่ภายในมีอุณหภูมิคงที่ประมาณ 9 องศาเซลเซียส ซึ่งการจะเข้าไปชมภายในถ้ำต้องอาศัยไกด์ทัวร์เป็นผู้นำทางเท่านั้น

12. ทุ่งหินรูปรังผึ้ง Bungle Bungles ในรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย ประเทศออสเตรเลีย

ทุ่งหินทรายที่มีรูปทรงคล้ายรังผึ้ง หรือ Bungle Bungles นี้ เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติ Purnululu ที่องค์การยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ. 1987 (พ.ศ. 2530) กลุ่มหินดังกล่าวประกอบด้วยหินทรายและหินกรวดมน ซึ่งเมื่อประมาณ 375-350 ล้านปีก่อนหินเหล่านี้เคยเป็นตะกอนในลุ่มน้ำ "Ord"

13. ภูเขาไฟ Redoubt ที่รัฐอลาสก้า สหรัฐอเมริกา
Redoubt เป็นภูเขาไฟมีพลัง (active volcano) อายุนับพันๆ ปี ที่ยังคงคุกรุ่นและเกิดการปะทุหรือระเบิดขึ้นบ่อยครั้ง โดยครั้งล่าสุดเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 มีนาคม ที่ผ่านมา

14. ดินแดนโบราณ คัปปาโดเกีย ประเทศตุรกี

คัปปาโดเกีย ได้รับการประกาศจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก เมื่อปี ค.ศ.1985 (พ.ศ. 2528) ดินแดนดังกล่าวมีภูมิประเทศที่แปลกตาซึ่งเกิดจากจากลาวาภูเขาไฟที่ไหลออก มาปกคลุมพื้นที่ เมื่อวันเวลาผ่านไป พายุ ลม ฝน ได้เป็นตัวแปรที่ก่อให้เกิดการแปรสภาพเป็นหุบเขา ร่องลึก เนินเขา กรวยหิน และเสารูปทรงต่างๆ ที่งดงาม บางส่วนมีประชาชนอาศัยอยู่ภายใน
 
15. ทะเล (สาป) เดือด Boiling Lake ประเทศโดมินิกา (Commonwealth of Dominica)
 

เป็นบ่อน้ำพุร้อนที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลก (รองจากทะเลสาป Frying Pan Lake ของประเทศนิวซีแลนด์) มีความกว้างราว 60 เมตร ลึก 59 เมตร ระดับน้ำภายในทะเลสาปแห่งนี้มีลักษณะขึ้น-ลงตลอดเวลา โดยเมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2006 (พ.ศ. 2549) น้ำในทะเลสาปแห่งนี้ได้แห้งเหือดหายไป และเพิ่งกลับมาอยู่ในระดับปกติอีกครั้งเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา

16. แม่น้ำสีแดง (Rio Tinto) ที่ประเทศสเปน


บริเวณพื้นที่ตามแนวชายฝั่งแม่น้ำ Río Tinto มีการทำเหมืองทองแดง เงิน ทอง และแร่ธาตุอื่นๆ มาตั้งแต่สมัยโบราณ (ราว 5 พันปีก่อน) ส่งผลให้น้ำในแม่น้ำดังกล่าวมีค่าความเป็นกรดสูงมาก ส่วนสาเหตุที่น้ำมีสีแดงก็เนื่องมาจากก้อนหินที่อยู่ในแม่น้ำแห่งนี้ประกอบ ด้วยธาตุเหล็กในปริมาณเข้มข้นนั่นเอง เหมืองในแถบนี้ถูกปิดมานานนับ 10 ปี แต่เนื่องจากทองแดงมีราคาสูงขึ้น เจ้าของเหมืองจึงมีแผนเปิดเหมืองทองแดงอีกครั้งในปีหน้า

17. หุบเขาโลกพระจันทร์ (Vale de Lua) ที่ประเทศบราซิล


หุบเขาโลกพระจันทร์ หรือ "the valley of the moon" เป็นที่ราบสูงโบราณที่มีอายุเก่าแก่กว่า 1.8 พันล้านปี โดยพื้นที่ว่างระหว่างก้อนหินจะมีน้ำจากแม่น้ำ San Miguel แทรกอยู่ภายใน ดินแดนประหลาดแถบนี้เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติ Chapada dos Veadeiros ซึ่งองค์การยูเนสโกประกาศให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ. 2001 (พ.ศ. 2544) ที่ผ่านมา

 
เนื้อหา..
ขอขอบคุณ ต๋อม เพื่อนรัก..

บทความ / ภาพประกอบ
ครูป้อม คนล่าฝัน

17 ภูมิประเทศแปลกๆ ที่ไม่คิดว่าจะมีในโลก(1-9 แห่งแรก) ... โดยครูป้อม

... เรามาดูกันนะครับ ว่าโลกมนุษย์เรายังมีสถานที่ ที่บางคนดูแล้วอาจจะคิดว่าน่ากลัว บางคนมองดูแล้วอาจจะคิดว่าคือสวรรค์ในอีกมุ่มหนึ่งก็ได้ครับ ครูป้อมให้ดู 1 ถึง 9 แห่งแรกก่อนนะครับ ..

1. เดอะเวฟ (The Wave) ที่รัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา
"เดอะเวฟ" คือ ภูเขาหินทรายที่ฟอร์มตัวในลักษณะคล้ายคลื่นลาดชัน เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 190 ล้านปีก่อนหรือในยุคจูราสสิก เนื่องจากพื้นที่แถบนี้มีความเปราะบางมาก ทางการจึงจำกัดให้เข้าชมได้เพียงวันละไม่เกิน 20 คน และต้องเดินเท้าเข้าไปเกือบ 5 ก.ม. จึงจะถึงดินแดนมหัศจรรย์แห่งนี้
 
2. Tessellated Pavement บนเกาะแทสเมเนีย (รัฐหนึ่งในประเทศออสเตรเลีย)

นี่คือภาพลานหินตะกอนบริเวณชายฝั่งที่ Eaglehawk Neck บนเกาะแทสมาเนีย ซึ่งถ้าหากมองเผินๆ จะแลดูคล้ายมีใครนำแผ่นกระเบื้องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่มาวางเรียงรายริมทะเล (บริเวณขอบสี่เหลี่ยมที่เราเห็นเป็นแนวเส้นตรงนั้น เกิดจากแรงตึงเครียดของผิวโลก ผนวกกับการกัดเซาะอย่างต่อเนื่องของคลื่นและแรงเสียดสีของทราย)

3. หินรูปทรงประหลาด ในทะเลทรายขาว (White Desert) ประเทศอียิปต์

ทะเลทรายแห่งนี้ตั้งอยู่ใน Farafra Oasis มี ลักษณะเป็นสีขาวและครีม ประกอบด้วยกลุ่มหินชอล์ครูปทรงประหลาดขนาดใหญ่มากมาย อันเป็นผลงานของพายุทรายที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว

4. บ่อน้ำพุร้อนสีเลือด (Blood Pond Hot Spring) ที่เบปปุ ประเทศญี่ปุ่น

น้ำพุร้อนสีเลือด (Chinoike Jigoku) เป็นหนึ่งในบ่อน้ำพุร้อนชื่อดังของเมืองเบปปุ ในจังหวัดโออิตะ บนเกาะคิวชู สาเหตุที่น้ำพุมีสีเลือดเนื่องจากมีธาตุเหล็กอยู่ในปริมาณมากนั่นเอง

5. Giant's Causeway ที่ไอร์แลนด์เหนือ
Giant's Causeway เป็นชายฝั่งที่เกิดจากการเย็นตัวของหินภูเขาไฟเมื่อประมาณ 50,000 ถึง 60,000 ปีที่ผ่านมา ก่อให้เกิดหินรูปหกเหลี่ยมและหินแท่งสี่เหลี่ยมกว่า 40,000 แท่ง องค์การยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียน Giant´s Causeway เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1986 (พ.ศ. 2529)

6. ทะเลเกลือ (salt flats) ที่ Salar de Uyuni ประเทศโบลิเวีย
จริงๆ แล้วที่ราบเกลือหรือทะเลเกลือลักษณะนี้มีอยู่หลายแห่งด้วยกัน แต่ทะเลเกลือที่ Salar de Uyuni ของประเทศโบลิเวียนั้น มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลมากถึง 10,582 ตารางกิโลเมตร

7. ป่าหิน (Stone Forest) เมืองคุนหมิง มลฑลยูนาน ประเทศจีน

อุทยานป่าหิน (Shilin National Park) ใน เมืองคุนหมิง จัดเป็นป่าหินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีพื้นที่มากถึง 350 ตารางกิโลเมตร แต่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมเพียง 12 ตารางกิโลเมตรเท่านั้น เดิมทีหินปูนเหล่านี้อยู่ใต้ผิวโลก แต่ภายหลังได้ถูกดันขึ้นมาในลักษณะเดียวกับหินงอก เชื่อกันว่าป่าหินแห่งนี้มีอายุราว 270 ล้านปีเลยทีเดียว

8. ธารน้ำ แข็ง Taylor ใน McMurdo Dry Valleys ที่แอนตาร์คติกา (ขั้วโลกใต้)

ธารน้ำแข็งอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้ มีพื้นที่ส่วนหนึ่งที่โดดเด่นเป็นสีแดงส้ม ตัดกับน้ำแข็งส่วนอื่นๆ ซึ่งมีสีขาวโพลน เนื่องจากพื้นที่แถบนั้นเต็มไปด้วยออกไซด์ของเหล็ก (iron oxide) ซึ่งก็คือ "สนิม" นั่นเอง ด้วยเหตุนี้บริเวณดังกล่าวจึงได้รับการขนานนามตามลักษณะทางกายภาพ ว่า "น้ำตกเลือด" (Blood Falls)

9. ทะเลสาปสปอท เลค (Spotted Lake) – ประเทศแคนาดา

“สปอท เลค” ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในทะเลสาปที่มีแร่ธาตุชนิดต่างๆ อาทิ แมกนีเซียม ซัลเฟต, แคลเซียม และโซเดียม ซัลเฟต ในปริมาณเข้มข้นมากที่สุดในโลก แต่น่าเสียดายที่ทะเลสาปแห่งนี้อยู่ในที่ดินของเอกชน นักท่องเที่ยวจึงทำได้แค่มองจากราวรั้วกั้นริมถนนเท่านั้น (ส่วนที่เป็นจุดๆ คือน้ำ นอกนั้นเป็นส่วนของแร่ธาตุนานาชนิด ที่สามารถลงไปเดินสำรวจได้)

เนื้อหา..
ขอขอบคุณ ต๋อม เพื่อนรัก..



บทความ / ภาพประกอบ
ครูป้อม คนล่าฝัน

7 เหตุผลว่า ทำไมคนเกลียด"การใช้เหตุผล" ....โดยครูป้อม

...ผมก็สงสัยเรื่อยมากับคำว่า "เหตุผล" มันสำคัญไฉนครับ...ผู้อ่านมาดูกันซิว่ามีเหตุผลอะไรที่เป็นไปได้บ้างว่า ... ทำไมคนส่วนใหญ่ไม่ชอบเหตุผล..



1. เหตุผลอยู่ตรงข้ามกับคุณค่าและศีลธรรมการจะทำให้โลกมีศีลธรรมและมนุษยธรรม ต้องการมากกว่าเพียงเหตุผล (Archbishop Rowan Williams)
2. ไม่มีใครที่ใช้เหตุผลได้อย่างแท้จริง หากเราคิดเป็นเหตุเป็นผลทุกอย่างจริงๆ เราจะไม่อาจทำอะไรได้เลย (Chris Frith, neuroscientist)
3. เมื่อใดข้าพเจ้าได้ยิน “เหตุผล” ข้าพเจ้าก็มักจะได้ยินการโกหก – วิทยาศาสตร์มักถูกรัฐบาลและบริษัทห้างร้านหยิบยืมไป บั่นทอนความสามารถของคนทั่วไป ที่จะตัดสินใจได้ด้วยตนเอง (David Miller, sociologist, and Noam Chomsky, linguist)
4. การใช้เหตุผลไม่รวมถึงความคิดสร้างสรรค์และสัญชาติญาณ – การใช้เหตุผลใช้ไม่ได้กับศิลปะ (Keith Tyson, Turner prizewinner)
5. มันขึ้นกับว่าเป็นเหตุผล “ของใคร”? – คนปกติทั่วไปไม่ได้ยังชีพด้วยเหตุผลอันจืดชืดแห้งแล้ง (Tom Shakespeare, bioethicist)
6. เหตุผลทำลายตัวมันเอง – แม้แต่คณิตศาสตร์ที่เป็นระเบียบยิ่ง เหตุผลยังแหกกฎของพวกมันเอง (Roger Penrose, mathematician)
7. เหตุผลก็เป็นแค่เพียงอีกรูปแบบหนึ่งของศรัทธา – การเชื่อถืออย่างไร้ข้อแม้ต่อผู้ใดผู้หนึ่งก็ไม่ใช่เรื่องสมเหตุสมผล (Mary Midgley, philosopher)



ขอขอบคุณ นำชัย
ครูป้อม คนล่าฝัน
 
Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า 3.0 ประเทศไทย.