“ a physical theory is just a mathematical model and it
is meaningless to ask whether it corresponds to reality. All that one can ask is that its predictions should be in
agreement with observation ”
Prof. S.W. Hawking
“ ฟิสิกส์คือ วิชาที่ว่าด้วยการศึกษาธรรมชาติ.. ทฤษฎีฟิสิกส์คือ การอธิบายธรรมชาติด้วยภาษาคณิตศาสตร์.. ”
ศ. สตี เฟน ฮอว์คิง
ขอขอบคุณ "ศ. ฮอว์คง"
ครูป้อม คนล่าฝัน
เทคนิคอ่านหนังสือ"ขั้นเทพ"
ตอบลบการอ่าน ถือเป็นอาหารสมองชั้นเลิศของสมอง "พญ.จิตรา วงศ์บุญสิน" ผู้เชี่ยวชาญด้านกุมารแพทย์ อีกทั้งยังเป็นคุณแม่ของลูกเจ้าของรางวัลเหรียญทองโอลิมปิคทางด้านวิชาการ สาขาชีววิทยา เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา มาเผยเทคนิคการอ่าน การเขียน และการจดจำ
พญ.จิตรา วงศ์บุญสิน แนะนำว่า เทคนิคการอ่านเพื่อสร้างความจดจำ ไม่มีอะไรซับซ้อน เริ่มต้น : -
1. เตรียมพร้อมที่จะอ่าน โดยสร้างความสนใจ และเห็นความสำคัญในสิ่งที่จะอ่าน
2. หาสถานที่ที่เหมาะสม ไม่มีเสียงรบกวน
3. นั่งตัวตรงที่ขอบเก้าอี้ ไม่พิงพนัก
4. ปิดตาหายใจเข้าออกลึกๆ เพื่อผ่อนคลาย ใช้นิ้วชี้นำข้อความไปเรื่อยๆ
5. อ่านบทนำ หัวข้อ ของผู้เขียน เพราะจะเป็นการรวบรวมเนื้อหาและขอบเขตของเนื้อหาทั้งหมด
6. ระหว่างอ่านต้องเตือนตัวเองว่าเนื้อเรื่องพูดถึงใคร อะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร
7. อ่านเนื้อหา ไม่ต้องอ่านทุกคำ บางครั้งช่วยด้วยการอ่านออกเสียง
8. หลังอ่านจบ สรุปเนื้อหาสั้นๆ ซึ่งตรงนี้จะทำให้สามารถกลับมาทบทวนได้ง่าย ไม่ต้องมาอ่านหมดทั้งหน้าอีก และหากนำไปใช้บ่อยๆ ก็จะทำให้อ่านเร็วขึ้น ไม่ต้องใช้เวลาทั้งวันกับการอ่านหนังสือเพียงหน้าเดียวแล้วก็จำอะไรไม่ได้
"หลังจากอ่านหนังสือจบ จะต้องมีการทบทวนภายใน 24 ชั่วโมง เพราะจากการทดลอง พบว่า หากทบทวนภายใน 24 ชั่วโมง จะทำให้จำได้ถึง 80% และใช้เวลาน้อยมากในการอ่านทบทวน ซึ่งต่างจากคนที่ทบทวนภายใน 7 วัน จะจำได้เพียง 50% ส่วนคนที่ทบทวนก่อนสอบจะจำได้เพียง 20-30% เท่านั้น"
ปิดท้ายด้วยเทคนิคการจำ พญ.จิตราบอกว่า ให้ใช้การจำโดยการแต่งเรื่องสนุกๆ โดยนำคำต่างๆ หรือเรื่องที่ต้องการจำมาแต่งเป็นเรื่องเป็นราว หรือเป็นเรื่องตลก เป็นต้น หรืออีกวิธีคือ การจำโดยใช้แผนที่ หรือที่เรียกว่า Mind Mapping ซึ่งวิธีนี้ จะทำให้เข้าใจง่าย และจำได้ง่ายขึ้น โดยบางครั้งอาจจะใช้วิธีการวาดรูปแทนข้อความบางข้อความเพื่อสร้างความจดจำ
เทคนิคง่ายๆ แต่ได้ประโยชน์มหาศาล
" 9 เทคนิคฝึกสมองไบรท์ " โดย วนิษา เรซ (หนูดี) ผู้เชี่ยวชาญด้านอัจฉริยภาพจาก ม.ฮาร์วาร์ด
ตอบลบสมัย นี้ ทุกคนอยากสวย ฉลาด และสุขภาพดี จึงพากันดูแลรูปร่าง ด้วยการออกกำลังกาย เคร่งครัดเรื่องอาหารการกินแต่ไม่เคยมีใครสนใจว่าจะดูแลสมองอย่างไรให้มี สุขภาพดี ทั้งที่สมองเป็นอวัยวะที่ตัดสินใจทุกเรื่องของชีวิต เราจึงควรเอกเซอร์ไซส์สมองให้ไบรท์ด้วยเทคนิคง่าย ๆ ต่อไปนี้
1. จิบน้ำบ่อย ๆ
สมองประกอบด้วยน้ำ 85 % เชลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เห่ยว ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมอง
เหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อย ๆ
2. กินไขมันดี
คนไม่ ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลาสารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมันดีอย่าง ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น
3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที
หลัง จากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุด ๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ ( ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ) ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน
4. ใส่ความตั้งใจ
การ ตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่าง ๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่คิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน
5. หัวเราะและยิ้มบ่อย ๆ
ทุก ครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไป เรื่อยๆ
6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน
สิ่ง ใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟินและโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ ไปเรื่อย ๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์
7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน
ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง
8. เขียนบันทึก Graceful Journal
ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดีขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดี ๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมาช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์
9. ฝึกหายใจลึก ๆ
สมองใช้ออกชิเจน 20 25 % ของออกชิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึก ๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง
ควร นั่งหลังตรงเพื่อให้ออกชิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนาน ๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยึดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่สามารถหายใจเอาออกชิ เจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 %
การมีสมองที่ดีก็เหมือนทักษะทุกอย่างในโลก ที่เรียนรู้ได้ แต่จะเก่งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าเราดูแลและฝึกฝนสมองให้ดี คุณภาพชีวิตก็จะดีตาม
เรื่องราวของอัจริยภาพมาแรงเหลือเกินเลยนำเทคนิคฝึกสมองแบบง่ายๆ เอามาฝากกัน
เทคนิคการเรียนเก่ง 7 ข้อ จากหนูดี
ตอบลบข้อที่ 1 : พกปากกาสี 12 สี ติดตัว
ทฤษฎีสี กล่าวไว้ ว่า สีจะสามารถเพิ่มการจดจำเนื้อหาต่าง ๆ ได้มากกว่า สีน้ำเงินที่เขียนตามปกติ จึงควรซื้อปากกาสีต่าง ๆ ติดตัวไว้ เวลาอ่านหนังสือก็ใช้ปากกาสีในการจดเนื้อหา ของ stabio ก็ดีนะ ทนหลายปีเลย
* สำหรับคนที่กลัวว่าจะจดไม่ทันก็ใช้วิธีจดเฉพาะเนื้อหาสำคัญพร้อมกับบันทึกเสียงไปพร้อม ๆ กัน แค่นี้ก้อสามารถจดจำได้แล้วล่ะ
ข้อที่ 2 : ใช้สมุด note ที่ไม่มีเส้น
การใช้สมุด note ที่มีลายเส้นนั้นเหมือนเราอยู่แต่ในกรอบเส้นนั้น แต่ถ้าใช้สมุด note ที่ไม่มีเส้นนั้นจะทำให้เราไม่มีกรอบในการเขียน เราอยากเขียนอะไรก็อยากเขียนได้ทั้งนั้น ปัจจุบันหาซื้อยาก ต้องลองหาแถว ร้านขายสมุดวาดรูปดูน่ะ
ข้อที่ 3 : บันทึกงานออกมาในรูป Mind Map Or Pic.
ถ้าเราอ่านหนังสือการ์ตูนตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว กับอ่านหนังสือ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เราจะสามารถจดจำการ์ตูนได้มากกว่า เวลาจดเนื้อหาบางอย่างอาจจะจดในรูปแบบ Pic. จะสามารถจดจำได้มากกว่า
การบันทึกงานในรูปแบบของ mind Map จะเป็นการแบ่งเรื่องหัวข้อใหญ่ต่าง ๆ เพื่อใช้ในการอ่าน อาจใช้ mind map เป็นรูปก็ได้
ข้อที่ 4 : Mp3
เราควรจะมี mp3 เพื่อใช้ในการบันทักเสียงเวลาที่คุณครูสอนแต่ไม่สามารถฟังและเก็บเกี่ยวเนื้อหาได้ครบทุกอย่าง
หากเราอัดไว้ก็จะสามารถย้อนกลับไปฟังได้ หลาย ๆ ครั้ง ก่อนสอบ
ข้อที่ 5 : เอาใจครู
เอาใจครูในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเอาอกเอาใจครู หมายถึง ทำตัวตามสไตร์ที่คุณครูชอบ เพื่อเพิ่มความชอบของคุณครูในตนเอง
เวลาเราชอบครูคนไหนก็อยากเรียนกับครูคนนั้น อยากส่งงาน ครู อยากเจอหน้าครู ก็จะทำให้เรียนเก่งยิ่งขึ้น เพราะเราอยากเรียนวิชานั้น ๆ
ข้อที่ 6 : พูดคุยกับปากกา
ก่อนสอบ หรือก่อนเขียนงานเราควรพูดคุยกับปากกาบ้าง คุณหนูดี ก็ใช้วิธีนี้จนเรียนจบปริญญา
ข้อที่ 7 : นั่งหน้าห้อง
นั่งหน้าห้องจะสามารถทำให้เราได้ยินมากกว่าคนที่นั่งข้างหลังเรา เห็นชัดกว่าคนข้างหลังเราและสามารถถามครูได้มากกว่า ซึ่งมันเป็นที่แน่นอนอยู่แล้ว